SAWAD เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อแบบมีหลักประกันประเภททะเบียนรถทุกชนิด รถเกษตร รถเชิงพาณิชย์ รวมถึงบ้านและโฉนดที่ดิน นอกจากนี้ ยังให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ และสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้เครื่องหมายการค้า “มีบ้าน มีรถ เงินสดทันใจ” โดยมีกลยุทธ์หลักในการให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย สะดวกรวดเร็ว เข้าถึงได้ง่าย จากการใช้ทรัพย์สินใกล้ตัวเป็นหลักประกัน โดยสามารถแจ้งผลการอนุมัติสินเชื่อได้ภายใน 30 นาที อนึ่ง ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางตอนบนและภาคใต้โดยอาศัยการแจกใบปลิว และการร่วมทำกิจกรรมของแต่ละชุมชน
สำหรับวัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อรองรับการขยายตัวในการปล่อยสินเชื่อและเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ตลอดจนชำระคืนหนี้เงินกู้บางส่วน ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง เพิ่มมากขึ้นและมีการเติบโตทางธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
นางสาวดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการผู้จัดการ SAWAD กล่าวว่า บริษัทมีกลยุทธ์การเปิดสาขาในแหล่งพื้นที่ชุมชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งเป้าเปิดสาขาทั่วประเทศปีละ 50-100 สาขา โดยจะเพิ่มสาขาให้ครบ 1,000 แห่งในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมี 602 สาขา พร้อมทั้งการพัฒนาระบบไอทีด้านต่างๆและบุคคลากร และคาดว่าจะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อแตะที่ระดับ 8,000-10,000 ล้านบาทได้ภายใน 2 ปี หรือภายในปี 58 จึงระดมทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ พอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้น ก.ย.56 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อทะเบียนรถ 82% สินเชื่อบ้านและที่ดิน มีสัดส่วน 13% และที่เหลือ 5% เป็นสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ นอกจากนี้ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพียง 4.5% ในขณะที่มีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญคิดเป็น 5.5%
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จุดอ่อนของบริษัทอยู่ที่แหล่งเงินที่ใช้เงินกู้จากธนาคาร โดยมีจำนวนหนี้สิน 4 พันล้านบาท ทำให้ณ สิ้น ก.ย.56 บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 3.5 เท่า คาดว่าหลังการระดมทุนจากการเสนอขาย IPO ส่วนหนึ่งจะนำมาชำระคืนเงินกู้จะทำให้ช่วยลด D/E ได้ลงมากว่า 1 เท่า ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงราคาเสนอขายว่าจะระดมทุนเงินได้เท่าไร
ภาพรวมของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาระหว่างปี 53 ถึงไตรมาส 3/56 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 557.24 ล้านบาทในปี 53 เป็น 1,306 ล้านบาท ในปี 55 และ 1,402 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 56 คิดเป็นอัตราเติบโต เฉลี่ย 401% ต่อปี (CAGR) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านบาทในปี 53 เป็น 362 ล้านบาท ในปี 55 และ 443 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 56 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี อันเป็นผลจากการขยายสาขาการให้บริการที่เพิ่มขึ้นครอบคลุมทั่วประเทศ ความสามารถในการขยายสินเชื่อและการควบคุมค่าใช้จ่าย และการบริหารจัดการปัญหาหนี้สูญที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น