เนื่องจากในปีนี้บริษัทได้รับปัจจัยบวกจากราคาผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก HDPE ที่คาดปีนี้ราคาอยู่ที่ 1,531 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1,488 เหรียญ/ตัน, ราคา LDPE ปีนี้คาดอยู่ที่ 1,658 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1,534 เหรียญ/ตัน และ ราคา LLDPE คาดอยู่ที่ 1,527 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1,486 เหรียญ/ตัน ส่วนราคาพาราไซลีน ซึ่งอยู่ในสายอะโรเมติกส์คาดจะมีราคาปรับลง แต่มีหลายโรงงานในปีนี้ที่จะปิดซ่อมประจำปี ทำให้การผลิตลดลงไป
"overall น่าจะดีกว่าไม่มาก...EBITDA เราโตขึ้น แต่ไม่ถึง 10% สรุปปีนี้ อะโรเมติกส์ดี ส่วนโอเลฟินส์ โดยราคาพาราไซลีนมีราคาต่ำ ส่วนโรงกลั่น EBITDA น่าจะเท่าเดิมจากปีก่อน หรืออาจดีกว่าเล็กน้อย"นายบวร กล่าว
ทั้งนี้ EBITDA ในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทมีสัดส่วนสูงอยู่ที่ 55% ส่วนอะโรเมติกส์มีสัดส่วน 20% ส่วนธุรกิจโรงกลั่น มีสัดส่าวน 10% ที่เหลือ 15% มาจากธุรกิจอื่น ประธานเจ้าหน้าทีบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC คาดว่าค่าการกลั่นรวม (GIM) ในปีนี้จะอยู่ใกล้เคียง 5 เหรียญ/บาร์เรล จากปีก่อน GIM อยู่ที่ 4.37 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ากว่าปีก่อน โดยคาดเงินบาทปีนี้น่าจะอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์ จากปี 56 อยู่ที่ 30.86 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
สำหรับงบลงทุนในปี 57 มีจำนวน 790 ล้านเหรียญ จากงบ 5 ปีที่ 4.5-5 พันล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็นงบซ่อมบำรุงประจำปี 250 ล้านเหรียญ และอีกกว่า 400 กว่าล้านเหรียญใช้ลงทุนโรงงานฟีนอล 2, โครงการ synergy และ โครงการ debottleneck ซึ่งได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดของเอทิลีนเพิ่มอีก 12% หรือเพิ่มอีก 1.2 แสนตันจากปัจจุบันมีกำลังผลิต 1 ล้านตัน คาดแล้วเสร็จในปี 59 และกำลังผลิต LLDPE เพิ่มอีก 3 แสนตัน/ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 4 แสนตัน/ปี คาดแล้วเสร็จในปี 60 รวมใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านเหรียญ
นายบวร กล่าวว่า บริษัทมีความกังวลจากสถานการณ์การเมืองจะฉุดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และจะส่งผลให้อับดับเครดิตของบริษัทลดลงตามเครดิตประเทศ ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศกังวลการผลิต อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทไม่รับผลกระทบเพราะยังส่งออกได้ตามปกติ ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการส่งออก 60% ในประเทศ 40%
*เล็งยกเลิกร่วมทุนกับมาเลเซีย
นายบวร กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทไม่ได้เจรจากับปิโตรนาสของมาเลเซียต่อเนื่องในการร่วมลงทุนโครงการผลิตโพลีออลและโพลีคาร์บอเนต เพราะมองว่าการลงทุนไม่คุ้มค่าหรือต่ำกว่าอัตราผลตอบแทน(IRR)ที่คาดไว้ 15% แต่ยังไม่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการ และหากมีการยกเลิก บริษัทก็สามารถหาซื้อได้ในตลาดเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าขั้นปลาย ทั้งนี้ ก็ยังมุ่งขยายตลาดในประเทศ เพราะสินค้าขั้นปลายเข้าสู่ตลาดรถยนต์ จึงต้องการนำสินค้ามาทดลองตลาดก่อนที่จะลงทุนเองในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า
ขณะที่การร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์กับเปอตามีน่า ในอินโดนีเซีย คาดจะหาข้อสรุปสถานที่จัดตั้งโรงงานและเซ็นสัญญาได้ในกลางปีนี้
ส่วนการร่วมลงทุนกับซิโนเคมในประเทศจีนนั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างน้อย 1 โครงการในช่วงครึ่งหลังปี 57 โดยพิจารณาร่วมทุนโครงการสินค้าขั้นปลาย(downstream) แต่จะไม่ร่วมลงทุนธุรกิจโรงกลั่นแน่นอน ขณะเดียวกัน ก็มีความร่วมมือการทำตลาดในประเทศจีน
นอกจากนี้ ความคืบหน้าการตั้งโรงงานผลิตไบโอพลาสติกในไทย ซึ่งบริษัทร่วมทุนกับ Nuture Works นายบวร กล่าววา ขณะนี้ยังทำการศึกษาและออกแบบโรงงานอยู่ และเรื่องนี้ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุน ระหว่างนี้จึงต้องรอรัฐบาลใหม่ คาดว่าในปลายปีนี้น่าจะได้ความชัดเจน
นายปฎิภาณ สุคนธมาน รองกรรมผู้จัดการใหญ่สายการเงินและบัญชี PTTGC กล่าวว่า ในเดือนเม.ย.นี้ จะมีหุ้นกู้สกุลเงินบาทครบกำหนดไถ่ถอน จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท บริษัทจะไม่ออกทดแทนหุ้นกู้เดิมทั้งหมด กำลังพิจารณาวงเงินอยู่ โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงิสด 4 หมื่นล้านบาท