"ผลประกอบการในปี 56 ต่ำสุดในรอบ 10 ปี...แต่ปีนี้ยอดขายเราโตอย่างน้อย 10% กำไร 1 หมื่นล้านบาททำได้ไม่ยาก ผมเชื่อว่าแผนระยะยาวของเราจะทำให้การเติบโตอย่างยั่งยืน"นายอดิเรก กล่าว
อนึ่ง CPF ประกาศกำไรสุทธิปี 56 อยู่ที่ 7,065 ล้านบาท ลดลง 62% จากปีก่อนซึ่งปี 55 ที่มีการรับรู้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากการซื้อเงินลงทุนใน C.P.Pokphand (CPP.) จำนวน 8,673 ล้านบาท ประกอบกับได้รับผลกระทบจากธุรกิจสัตว์น้ำที่มีการระบาดโรคEMS ทำให้ยอดขายกุ้งลดลงอย่างมากในปี 56 นายอดิเรก กล่าว่า ในช่วง 5 ปีนี้ (ปี 57-61) คาดว่ายอดขายจะเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 10%โดยปีที่ 5 คาดว่ายอดขายเพิ่มมากกว่า 7 แสนล้านบาท ที่จะมาจากการเติบโตจากฐานผลิตในต่างประเทศที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าในประเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 70- 75% ส่วนยอดขายในประเทศลดเหลือ 25-30% โดยปัจจุบัน CPF มีฐานการผลิต 12 ประเทศ โดยฐานการผลิตที่ใหญ่สุดได้แก่ จีน เวียดนาม และอินเดีย คาดเติบโตเร็วจากที่มีจำนวนประชากรจำนวนมาก
พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปีนั้นจำนวนรวม 5 หมื่นล้านบาท หรือปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยยังไม่รวมการลงทุนในธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการ (M&A) ทั้งนี้งบลงทุนมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเน้นลงทุนขยายกำลังการผลิตในฐานการผลิตในต่างประเทศ ขณะที่บริษัทมีหลายดีลที่เสนอซื้อกิจการธุรกิจอาหารมีทั้งยุโรป สหรัฐ และ เอเชีย คาดว่าอย่างน้อยน่าจะสรุปได้อย่างน้อย 1 ดีลในปีนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป
สำหรับสถานการณ์การเมืองในประเทศ นายอดิเรก กล่าวว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะธุรกิจของบริษัทเป็นธุรกิจอาหารที่ราคาไม่แพง เช่นเนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ เป็นต้นซึ่งจำเป็นต้องบริโภค แต่ก็ส่งผลไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตามการชุมนุมทางการเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนธุรกิจของบริษัท ไม่ได้ปรับแผน และแนวโน้มธุรกิจไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ปีนี้เป็นปีแรกที่ CPF ส่งออกไก่สดไปญี่ปุ่น โดยคาดว่า CPF จะส่งออกได้ 3-4 หมื่นตัน จากภาพรวมที่คาดว่าไทยจะส่งออกไก่สดไปญี่ปุ่นได้ 8 หมื่นตัน
นอกจากนี้ ในปีนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ เพื่อทดแทนหุ้นกุ้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในไตรมาส 4/57 จำนวน 6.2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะพิจารณาว่าจะออกเป็นหุ้นกุ้สกุลเงินบาทเหมือนเดิมหรือไม่อย่างไร ต้องดูจังหวะตลาดอีกครั้ง