แม้ว่าตั้งแต่ปลายปี 56 จนกระทั่งปัจจุบันบริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อยอดขายของร้านสาขาที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการชุมนุมทางการเมือง แต่บริษัทก็ยังคงดำเนินการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เดิมใช้งบลงทุนราว 3% ของรายได้รวม ในการจัดกิจกรรมโฆษณาประชาสัมพันธ์ เช่น ทีวี วิทยุ จากนี้จะปรับมาใช้สื่อโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียมากยิ่งขึ้น และจะมีแอปพลิเคชั่นพิเศษของ HOTPOT ออกมาเอาใจลูกค้า เพื่อเป็นการต่อยอดการทำธุรกิจ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเน้นไปที่ คนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงโซเชียลมีเดีย และเป็นฐานลูกค้าหลักของ HOTPOT นอกจากนี้ได้ดำเนินการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ค่าแรงสูงกว่าพื้นที่อื่นทั่วประเทศ
บริษัทยังใช้กลยุทธ์การขยายสาขาเพิ่มต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้โดยปี 57 ตั้งเป้าเปิดสาขา 15-20 สาขา งบลงทุนประมาณ 6-9 ล้านบาท ซึ่งสิ้นปีคาดว่าจะมีสาขารวมทั้งสิ้นกว่า 170 สาขา จาก ณ สิ้นปีก่อนที่ 153 สาขา แบ่งเป็นฮอท พอท จำนวน 121 สาขา ไดโดมอนจำนวน 18 สาขาและฮอทพอทที่เพิ่มเตาปิ้งย่างจำนวน 14 สาขา
“ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว HOTPOT เองก็ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองโดยเฉพาะสาขาที่ใกล้กับพื้นที่ชุมนุมยอดขายหายไปบ้างแต่มั่นใจว่าทั้งปีรายได้จากการขายจะโตได้ร้อยละ 15 และเน้นเพิ่มมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นจาก 55% ควบคู่กับการเดินหน้ารุกทั้งด้านการขยายสาขา ควบคู่กับห้างสรรพสินค้าที่ไปเปิดตัวในต่างจังหวัด คาดว่าทั้งปีนี้จะเพิ่มสาขาได้อย่างน้อย 15-20 แห่ง ตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น และจะทำให้มีสาขารวมทั้งสิ้นกว่า 170 สาขา จากปีก่อนที่มีจำนวน 153 สาขา"นางสาวสกุณา กล่าว
สำหรับผลประกอบการปี 56 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,353.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 445.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.35 ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 42.8 ล้านบาทจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 24.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 72.70 โดยสาเหตุของการปรับเพิ่มของรายได้และกำไรมาจากการขยายสาขา การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร