ในปีนี้ บริษัทและบริษัทในเครือเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,300 ล้านบาท รุกพัฒนาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพื่อตอบรับความต้องการในตลาดบ้านระดับกลางและล่างมากขึ้น โดยสัดส่วนในการพัฒนาโครงการใหม่แบ่งเป็นโครงการราคาระดับสูง 13% โครงการบ้านราคาระดับกลาง 43% และคอนโดมิเนียม 32% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นต่างจังหวัด 32% ซึ่งบริษัทได้ขยายฐานธุรกิจสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ได้แก่ นครปฐม ระยอง ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงราย และ เชียงใหม่
นายรัตน์ คาดว่าปีนี้รายได้จากทาวน์เฮ้าส์จะมากขึ้นเป็น 5 พันล้านบาทจากปีก่อน 3 พันล้าบาท ทดแทนรายได้จากคอนโดมิเนียมที่รายได้ปีนี้ลดลงคาดว่าจะอยู่ที่ 5 พันล้านบาท จาก 6 พันกว่าล้านบาทในปีก่อน ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมจะลดลงมาที่ 23% จากปีก่อน 35% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์จะเพิ่มมาเป็น 23% จาก 15%ในปีก่อน ส่วนบ้านเดียวปีนี้มีสัดส่วน 54% จากปีก่อน 50%
"เราเน้นเข้าไปทาวน์เฮ้าสเพราะยังเห็นช่องว่างของตลาดจึงเข้าไป ทำให้ปีนี้กะว่ารายได้ใกล้ 5 พันล้านบาทจากปีที่แล้วมี 3 พันล้านบาท และก็ยังเป็นจุดมุ่งหมายที่ทำใหห้มาทดแทนคอนโดฯ "นายรัตน์กล่าว
โดยปัจจุบันมียอดขายที่รอโอน (Backlog)อยู่จำนวน 9 พันล้านบาท จากโครงการคอนโดมเนียม 8,500 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ปีนี้บริษัทได้เปิดโครงการใหม่บ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมที่เชียงใหม่ และโครงการคอนโดมิเนียมหรูที่เชียงราย และชะอำ เพราะเห็นมีศักยภาพที่ เชียงรายเป็นจุดที่ติดต่อกับประเทศพม่าและลาว โดยมีกำลังซื้อจากคนจีนเข้ามาหนุนด้วยซึ่งคนจีนเข้ามาซื้อทั้งโครงการบ้านเดี่ยวผ่านคนไทย และ คอนโดมิเนียม อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่มีแผนบุกตลาดอีสาน เพราะเห็นว่าราคาที่ดินปรับตัวสูงเกินไป และมีการแข่งขันสูง ทั้งนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างจังหวัดจะมีประมาณ 2.5 พันล้านบาท หรือประมาณ 10%
ส่วนยอดขายในช่วง 2 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.)ของบริษัทมีอยู่ประมาณ 2,300 ล้านาท เติบโตในช่วงเดียวกันกว่า 10% แต่ก็ยอมรับว่า ตลาดบ้านระดับบนและระดับกลางไม่ค่อยดี อย่างไรก็ดี ทำเลบ้านที่ห่างไกลสถานที่ชุมนุมทางการเมืองและต่างจังหวัดก็ยังมียอดขายดี
นายรัตน์ มองภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้โดยเฉลี่ยจะไม่ดีกว่าปีก่อน เพราะไม่ใช่เรื่องการเมืองเท่านั้นแต่ภาวะเศรษฐกิจได้เห็นสัญญาณชะลอตัวมาก่อน ทำให้ยอดขายก็ไม่คึกคัก ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และธนาคาก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อบ้านด้วย
"ภาพรวมคิดว่าลดลงแน่นอนจากปีก่อน เงื่อนไขอยู่ที่ว่านกหวีดเลิกเมื่อไร สมมติว่าเลิกในเดือนมีนาคม ก็อาจลดลงประมาณ 10% แต่ถ้าเลิกในเมษายน ก็อาจลดลงมากกว่า 10% ...ยิ่งยืดเยื้อยิ่งมีปัญหา" นายรัตน์กล่าว
*ออกหุ้นกู้ 4 พันลบ./ขยายกองทุน QHHR ในQ2/57
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการสายสนับสนุนปฎิบัติการ QH กล่าวว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้จำนวนรวม 4 พันล้านบาท แบ่งออกจำนวน 2 พันล้านบาทในเดือนเม.ย.นี้ และอีก 2 พันล้านบาทในครึ่งหลังปี 57 ปัจจุบันบริษัทมี Net D/E อยู่ที่ 1.08 เท่า ขณะที่มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.นี้ 2 พันล้านบาท และในเดือนเม.ย. อีก 2 พันล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทจะขยายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ (QHHR) โดยจะขายสินทรัพย์โรงแรมเซ็นเตอร์พ้อยท์ สีลม วงเงินประมาณ 500-600 ล้านบาท ในไตรมาส 2/57 ซึ่งในภาะวปกติโรงแรมเซ็นเตอร์พ้อยท์สีลม มีอัตราเข้าพักราว 80-90%
นางสุวรรณา กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเริ่มเปิดสายการผลิตพรีแฟบแล้ว โดยบริษัทได้ลงทุนไป 175 ล้านบาท มี 8 สายการผลิต มีกำลังผลิตรวม 1 พันหลัง/ปี โรงงานตั้งอยู่ลำลูกกา ทั้งนี้เพื่อป้อนการก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ของบริษัท โดยสัดส่วนที่ผลิตเอง 60% อีก 40%สั่งซื้อจากภายนอก และแนวโน้มหากมีการใช้มากขึ้นก็อาจลงทุนเพิ่มเติม