ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ และแนวโน้ม ANAN ที่ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 4, 2014 13:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันรของ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์(ANAN) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าและธุรกิจที่มีขนาดปานกลาง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีผลงานที่ค่อนข้างจำกัดและขาดความต่อเนื่อง รวมถึงการมีสินค้าที่ขาดความหลากหลาย และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ความต้องการที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะชะลอตัวลงเนื่องจากปัญหาความไม่สงบทางการเมือง และแรงกดดันจากต้นทุนค่าก่อสร้างและแรงงานที่ขาดแคลนด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในโครงการคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะยังคงแข็งแกร่งและโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทจะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงและวงจรของอุตสาหกรรมที่ขึ้นลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าแผนการขยายธุรกิจจะไม่ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเกิน 66% หรือเทียบเท่ากับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับเกินกว่า 2 เท่า

ANAN ประกอบธุรกิจพัฒนาและขายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ บริษัทก่อตั้งในปี 2542 โดยตระกูลเรืองกฤตยา ในปี 2546 นายชานนท์ เรืองกฤตยามีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ต่อมาในปี 2549-2550 บริษัทได้ร่วมทุนกับ Pramerica Real Estate Investors (Pramerica) ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศทำการจัดตั้ง บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ วัน จำกัด (ADO) เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ และ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด (AD2) เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยที่ Pramerica ลงทุนในสัดส่วน 95% ของเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนบริษัทลงทุน 5% และทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการ ต่อมาบริษัทได้ซื้อกิจการทั้งหมดของ AD2 จาก Pramerica ในปี 2553 และซื้อ ADO ในปี 2555 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2555 ณ เดือนกรกฎาคม 2556 นายชานนท์ เรืองกฤตยาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 53.1% ของหุ้นทั้งหมด

ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง โดยการพิจารณาสถานะทางธุรกิจของบริษัทนั้นครอบคลุมถึงประวัติการดำเนินงานและผลประกอบการของ ADO และ AD2 ซึ่งถือเสมือนว่าบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของทั้ง 2 กิจการมาตั้งแต่ต้นเนื่องจากบริษัทมีบทบาทเป็นอย่างมากในการพัฒนาโครงการให้แก่ ADO และ AD2 บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ภายในรัศมี 300 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “ไอดีโอ" อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทลดทอนลงไปบางส่วนจากประวัติผลงานที่สั้นและขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโครงการแนวราบ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเสี่ยงจากการมีโครงการคอนโดมิเนียมเป็นสินค้าหลักเพียงประเภทเดียวด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทน่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์ความสามารถเชิงกลยุทธ์ในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อยู่อาศัยและสภาวะการแข่งขันที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นในการจัดหาแปลงที่ดินใกล้สถานีรถไฟฟ้า

ณ เดือนธันวาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา 23 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 15,000 ล้านบาท และมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจำนวน 13,000 ล้านบาท ยอดขายในปี 2556 อยู่ในระดับสูงสุดที่ 20,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 8,888 ล้านบาทในปี 2555 รายได้ในปี 2556 ได้รับแรงหนุนจากการส่งมอบคอนโดมิเนียมไอดีโอ โมบิ 4 โครงการในไตรมาสสุดท้าย ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในปี 2556 เพิ่มขึ้นถึง 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 9,173 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ 8,000-10,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดย 80%-85% ของรายได้จะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม

บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ในช่วงปี 2553-2555 ที่ค่อนข้างผันผวนผิดปกติเนื่องจากการควบรวมโครงการของ AD2 ในปี 2553 ด้วยมูลค่ายุติธรรมซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่ประมาณ 1,500 ล้านบาท การซื้อ AD2 ด้วยราคาที่สูงกว่ามูลค่าทางบัญชีส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทในช่วงปี 2553-2555 แต่จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญนับจากปี 2556 เป็นต้นไป ในขณะเดียวกัน บริษัทน่าจะได้รับประโยชน์จากการซื้อสินทรัพย์ของ ADO ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีโดยจะช่วยให้บริษัทสามารถเสนอราคาขายที่แข่งขันได้ในโครงการแนวราบของ ADO อัตราส่วนกำไรของบริษัทในปี 2556 เท่ากับ 16% และคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 11% เมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ 43.73% (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนจำนวน 51%) ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะปรับสูงขึ้นจากแผนการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตของบริษัท อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะไม่สูงเกินกว่า 66% บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่ยอมรับได้หุ้นกู้ไม่มีประกันมูลค่า 2,605 ล้านบาทของบริษัทจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกรกฎาคม 2557 นี้ซึ่งบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อจ่ายชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าว

ณ เดือนธันวาคม 2556 สภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือมูลค่า 2,309 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่า 5,965 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทโดยเฉลี่ยต่อปี ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 7% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ