นายพิจินต์ อภิวันทนาพร ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ปตท.(PTT) คาดว่ารายได้รวมปีนี้จะเติบโต 2.7-2.8% มาที่ 2.97 ล้านล้านบาท บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 105 เหรียญ/บาร์เรล จากปีก่อนอยู่ที่ 2.84 ล้านล้านบาท และคาดอัตรากำไรสุทธิ(Net margin)ใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 3%
อย่างไรก็ดี ในปีนี้คาดว่าธุรกิจก๊าซ NGV และ LPG จะมีผลขาดทุนใกล้เคียงปีก่อนที่ 2 หมื่นล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาทตามลำดับทั้งนี้บริษ้ทหยุดขยายสถานีบริการก๊าซNGV และควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่ธุรกิจเหมืองถ่านหินคาดว่าจะมีกำไรใกล้เคียงปีนี้ เพราะปริมาณการขายใกล้เคียงปีก่อนที่ 11 ล้านตัน ราคาขายประมาณ 73 เหรียญ/ตันใกล้เคียงปีก่อน รวมทั้งปีนี้ก็ยังคงมีการตัดค่าเสื่อมราคาต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจไฟฟ้าในเครือ PTT นั้น บริษัทมีแผนจะนำบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(GPSC) ซึ่ง PTT ถือหุ้น 30.10% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปีนี้จากเดิมกำหนดไว้ในช่วงกลางปี เนื่องจากสถานการณ์ตลาดฯ ไม่เอื้อ ส่วนโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม (SPRC)คาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงครึ่งหลังของปีนี้เช่นกัน โดย PTT ถือหุ้นใน SPRC สัดส่วน 36% และเชฟรอนถือหุ้นใหญ่ 64%
"หากเข้าได้ ปตท.ก็จะได้รับกำไรจากการขายหุ้นออกไป นอกจากนี้ในระยะยาว ปตท.ไม่ต้องการถือหุ้น SPRC เพราะไม่ได้เป็นโรงกลั่นตามกลยุทธ์ยองกลุ่ม ปตท. ซึ่งโรงกลั่นสตาร์ฯอย่างเดียว"นายพิจินต์ กล่าว
ทั้งนี้ PTT ตั้งงบลงทุนช่วง 5 ปีไว้ที่ 3.27 แสนล้านบาท ปีนี้จะใช้เงินลงทุนราว 8.69 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากเงินสดในมือที่มีอยู่ราว 6-7 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งหลังไม่น้อยกว่า 1.8 หมื่นล้านบาททดแทนหุ้นกู้เดิม