และกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือน ซึ่งกองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัสโรลโอเวอร์ 6 เดือน1 (FAM FIPR6M1) โดยมีอัตราผลตอบแทนโดยประมาณ 3.00% ต่อปี เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 3-10 มีนาคม 57 โดยสินทรัพย์ในกองทุนบางส่วนจะลงทุนเป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศและในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้
สำหรับกองทุนเปิดฟินันซ่า ตราสารหนี้พลัสโรลโอเวอร์ 3เดือน5 (FAM FIPR3M5) เป็นกองทุนที่โรลโอเวอร์มาจากการขายกองทุนก่อนหน้านี้ เป็นกองทุน Specific fund โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงินและ/หรือ เงินฝากของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เงินฝากธนาคารต่างประเทศสกุลเงิน USD, CNY, HKD, EUR, JPY กับธนาคาร BOC (Macau), Standard Chartered Bank (Hong Kong), ธนาคาร CIMB Niaga (Indonesia) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, ตั๋วแลกเงิน บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง(BBB+), บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+), ตั๋วแลกเงิน บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (BBB+), บมจ.อีซี่บาย (BBB+), บจ.บีเอสแอล ลีสซิ่ง(BBB) หรือตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป, ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเมินว่าถึงแม้มุมมองทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/56 จะสามารถขยายตัวได้ที่ 0.60% ต่อปี จากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และสถาบันจัดอันดับ Moody’s ให้มุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ระดับเดิมที่ Baa1 พร้อมแนวโน้มอยู่ในระดับคงที่ แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองที่แม้จะเริ่มคลี่คลายความตึงเครียดลงแต่ยังคงไม่มีทางออกที่ชัดเจนเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างเด่นชัดในเดือนมกราคม 57 โดยที่ ธปท.ประกาศตัวเลขปริมาณเช็คคืนไม่มีเงิน (เช็คเด้ง) เพิ่มสูงสุดในรอบ 20 เดือน กว่า 7.66 หมื่นใบ มูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ภาคธุรกิจรายย่อยและเอสเอ็มอี เริ่มขาดสภาพคล่องหมุนเวียน เนื่องจากยอดขายสินค้าที่ลดลงตามการระมัดระวังการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และธนาคารพาณิชย์ระวังการให้กู้เพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมความเสี่ยง
บลจ.ฟินันซ่า ประเมินว่าการประชุม กนง.ครั้งต่อไปในวันที่ 12 มี.ค.57 ที่จะถึง มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดลงอีก 0.25% ต่อปี มาสู่ระดับ 2.00% ต่อปี นอกจากนี้ประเด็นความตึงเครียดที่สภาสูงของรัสเซียอนุมัติการส่งทหารเข้าแทรกแซงในยูเครน อาจเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดสงครามของกลุ่มประเทศมหาอำนาจได้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนสูงขึ้น การพักเงินเพื่อรับผลตอบแทนกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทครบกำหนดอายุโครงการ เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนทางการเมือง เศรษฐกิจ และต่างประเทศจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน