สำหรับปี 57 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25% และยอดขาย 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Profit Margin) คาดว่าจะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากจำนวนของโครงการใหม่ที่ลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ลดลงตามไปด้วย
“เราได้วางนโยบายรัดเข็มขัดด้วยการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เพราะประเมินว่าปัญหาการเมืองจะยืดเยื้อไปอีก 3 – 6 เดือน โดยเพิ่มความระมัดระวังควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และงดจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ โดยจะไม่ใช้โฆษณาในแมสมีเดีย จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลาย และเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ โดยไตรมาส 1/57 จะเปิดตัวโครงการ The Niche Mono ไตรมาส 2/57 โครงการ The Niche ID 2 โครงการ, S-Ville และ S-Town ไตรมาส 3/57 โครงการ S-Ville, The Niche ID และไตรมาส 4/57 โครงการสนามกอล์ฟและคลับเฮาส์" นางเกษรา กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 57 จะเป็นปีแห่งการจัดระเบียบเพื่อคุณภาพของบริษัทโดยพัฒนาธุรกิจใหม่ ในการผลิตทาวเฮาส์แบบสองชั้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และเหมาะสมกับสภาวะตลาด และนำระบบการผลิตแบบ Pre-Cast มาใช้ในการพัฒนาโครงการ รวมทั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาหรือโซลาร์รูฟ (Solar Rooftop) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่เป็นรายได้สม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการวางแผนกระจายความเสี่ยงด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ ในอนาคตจะมีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม 80% บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 10% และธุรกิจเช่า 10% โดยวางเป้าหมายกระจายความเสี่ยงไปสู่ธุรกิจเช่ามากขึ้น และมีแผนเปิดคลับเฮ้าส์ในโครงการสนามกอล์ฟ พัทยา คันทรี่คลับ ในต้นปี 2558
“ภาพรวมปีที่แล้วถือได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมียอดขาย 2,500 ล้านบาท และยอดโอน 2,000 ล้านบาท เนื่องจากสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามแผน โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 และ 4 ที่มีรายได้เข้ามามากขึ้นจากการเปิดตัวโครงการใหม่ต่างๆ ด้วยกลยุทธ์ราคาที่เหมาะสม และการให้บริการคิดครบแบบ 360 องศา ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจมากขึ้น โดยแนวโน้มไตรมาส 1/57 คาดว่าจะมีรายได้จากยอดขายโครงการต่างๆ ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีปริมาณงานในมือ (Backlog) ทั้งสิ้นกว่า 2,000 กว่าล้านบาท"
นอกจากนี้ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ความยืดหยุ่น (Flexibility) เปรียบเสมือน “กางเกงยางยืด" เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยปีนี้วางแผนที่จะเปิดตัวใหม่อีก 8 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 3 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ ธุรกิจเช่าและบริการสนามกอล์ฟ 1 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนระยะเวลาที่จะเปิดโครงการต้องประเมินสถานการณ์ต่างๆ ให้แน่ชัด โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
“ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองขณะนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ซึ่งในส่วนของ SENA มีการเตรียมพร้อมและประเมินสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มด้านอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะลดความร้อนแรงลง จากจำนวนของโครงการใหม่ที่ลดลง และภาวะอุปทานที่ล้นตลาด ทำให้ปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการแนบราบมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันอสังหาฯ ที่เป็นแนวราบขายง่ายกว่าแนวสูง ภายใต้แนวคิด Customer Centric ซึ่งเป็น 1 ใน 4 Cores Value หลักของเสนาฯ"