"ตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศในกลุ่มยูโรโซนได้ส่งสัญญาณเชิงบวกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และดัชนีภาคการผลิต รวมถึงตัวเลข GDP ซึ่ง IMF ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 1% ในปีนี้ จากที่ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2556 ที่ผ่านมามีการหดตัวลง 0.4% แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของยุโรป นอกจากนี้ธนาคารกลางยุโรปเอง ได้แสดงจุดยืนที่จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยการประชุมล่าสุด มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.25% สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่งผลทำให้เม็ดเงินลงทุนยังคงไหลเข้าตลาดการเงินยุโรปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครน อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อยุโรป แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ปัญหาดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้นเท่านั้น"นายนาวินกล่าว
ด้านตลาดการลงทุนในทวีปเอเชียได้รับอานิสงค์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งส่งสัญญาณฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อเนื่องมายังประเทศในเอเชีย ซึ่งพื้นฐานเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ทั้งนี้ประเด็นเรื่องการปรับลดมาตรการ QE ของสหรัฐฯ อาจก่อให้เกิดความกังวลต่อตลาดเกิดใหม่ และกระแสเงินทุนไหลออกจากเอเชียในระยะสั้น อย่างไรก็ตามในระยะยาวเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 นี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียกำลังพัฒนาจะสามารถขยายตัวได้ถึง 6.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่เฉลี่ยประมาณ 2.2% ส่งผลบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและระดับราคาหุ้นเอเชีย ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดย Forward P/E ปัจจุบันของดัชนี MSCI Asia Ex-Japan Small Cap อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ที่ 21 เท่า
ทั้งนี้ เรามีกองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของเอเชีย ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ รวมถึงมีโอกาสที่จะเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคตได้
สำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงกว่า 5% จากความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและสภาพคล่องในตลาดที่ตึงตัว อย่างไรก็ตาม แรงกดดันดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ทั้งนี้จากตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวกลับออกมาดี อาทิ ยอดเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ และตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของจีนที่ได้ขยายตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือนมกราคม โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เม็ดเงินกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของจีน จึงทำให้ตลาดคลายความกังวลถึงกรณีที่เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลงได้ และจากการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ตลาดคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะมีการเปิดเผยนโยบายของแผนปฏิรูปเศรษฐกิจออกมาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นนักลงทุนอาจอาศัยจังหวะที่ตลาดชะลอตัวลงมา เป็นโอกาสดีในการทยอยเข้าสะสมได้" นายนาวินกล่าว
อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย มองเห็นโอกาสเติบโตจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยบริษัทมีกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ที่เน้นการเติบโตในประเทศ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าพอร์ตการลงทุนที่คัดเลือกมาจะสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้ ทั้งนี้กองทุน K-CHINA จะมีการลงทุนในกองทุนหลัก China Focus Fund ซึ่งได้รับการบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกอย่าง Fidelity International
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของตลาดหุ้นยุโรป ยังแนะนำกองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในภูมิภาคยุโรป ผ่านกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR ซึ่งผลดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลักมีผลตอบแทนที่โดดเด่นต่อเนื่อง บริหารจัดการโดย Allianz Global Investor หนึ่งในผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก