นายจรัมพร กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.57 ต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 4.6 พันล้านบาท แต่หากดูตั้งแต่ต้นปีก็ยังเป็นการขายสุทธิกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าแรงขายจากต่างชาติเริ่มลดลงและเข้ามาซื้อมากขึ้ย โดยมองว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 56 ที่ออกมาเติบโตได้ตามเป้าหมาย ยอดขายสูงขึ้นราว 5% และมีกำไรเติบโตขึ้นราว 7.2%
และอีกอีกหนึ่งปัจจัยคือ ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมากลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข( กปปส.)ประกาศยุบเหลือเวทีการชุมนุมขวางถนนไปอยู่ที่สวนลุมพินีเพียงเวทีเดียว ส่งผลให้มองแนวโน้มสถานการณ์การเมืองน่าจะดีขึ้น
นอกจากนี้ แรงขายหุ้นจากผลกระทบการลดมาตรการกระตุนเศรษฐกิจสหรัฐ(QE)นั้นหมดไปแล้ว เนื่องจากหากเทียบกับช่วงที่เริ่มมีการใช้ QE มีแรงซื้อหุ้นไทยเข้ามากว่า 2 แสนล้านบาท และหลังจากที่เริ่มลด QE จนถึงปัจจุบันก็มีแรงขายออกไปแลัวกว่า 2 แสนล้านบาทเช่นกัน
"ปัจจุบันเราเริ่มเห็นสัญญานที่ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว เพราะแรงขายจากการลด QE ก็หน้าจะหมดไปแล้ว และภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯจดทะเบียนก็ยังออกมาตามเป้าหมายที่คาดการไว้ รวมถึงการเมืองที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากที่ กปปส.ได้ยุบรวมเวทีชุมนุมเหลือเพียงเวทีเดียว ทำให้เห็นแรงซื้อของต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา" นายจรัมพร กล่าว
สำหรับสถานการณ์ในประเทศยูเครนนั้น ไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย เนื่องจากมีการค้าขายกับประเทศยูเครนไม่มากนัก แต่น่าจะกระทบกับทางยุโรปมากกว่า ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงผลกระทบกับตลาดหุ้นทางด้านจิตวิทยาเท่านั้น