นอกจากนี้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 4-6% จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 2.53% โดยอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจะมาจาก บริษัทฯมีการบริหารจัดการต้นทุน โดยการหา Supplier ที่ช่วยให้ซื้อวัตถุดิบในราคาที่ต่ำลง โดยมีคุณภาพวัตถุดิบที่เท่าเดิม รวมถึงการคงอัตราแลกเปลี่ยนทันทีที่มีการซื้อขายสินค้า
สำหรับรายได้ในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 4/56 แต่จะน้อยกว่าไตรมาส 1/56 ราว 10% เนื่องจากการเมืองยังเป็นผลกระทบต่อความมั่นใจของลูกค้าต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา
"ปีนี้รายได้ของธุรกิจหลักของเราอาจจะมีการเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย จากลูกค้าเดิมที่มีการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยในช่วงครึ่งปีแรกเรามองว่าผลประกอบการน่าจะออกมาไม่ดีนัก เนื่องจากการเมืองยังเป็นผลกระทบต่อความมั่นใจของลูกค้า แต่อย่างไรก็ตามหากการเมืองสามารถจบลงได้ในช่วงครึ่งปีแรก ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ส่วนของอัตรากำไรขั้นสุทธิ ปีนี้ก็น่าจะสูงขึ้น เพราะปีที่ผ่านมาเราได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก แต่ในปีนี้เองเราก็ได้แก้ปัญหาโดยมีการคงอัตราแลกเปลี่ยนทันทีเมื่อมีการซื้อขายสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น"นายชำนาญ กล่าว
นายชำนาญ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อจะลงทุนก่อสร้าง ที่จอดรถอัจฉริยะ มูลค่าราว 100 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อลงทุนในพลังงาน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วง ปลายปีถึงต้นปี 58 นี้
"เราอยู่ระหว่างการเจรจากับ รฟม. ในการสร้างที่จอดรถอัจฉริยะ แต่ปัจจุบันติดปัญหาการเมืองอยู่ แต่หากการเมืองเริ่มดีขึ้นก็น่าจะเห็ความชัดเจน ซึ่งหากปีนี้เจรจาสำเร็จเราก็จะลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท" นายชำนาญ กล่าว