"แผน 5 ปี ที่เราวางไว้มาจากการต่อยอดคอนโดมิเนียมที่ยังคงอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งจะนำเงินจากการขายคอนโดมาก่อสร้างเพื่อต่อยอดต่อไปเรื่อยๆ โดยเรามีหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า"
สำหรับปี 57 บริษัทตั้งเป้ามียอดขายอยู่ที่ 8.5-9.5 พันล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 9,050 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากงานที่มีอยู่ในมือ (Backlog) 6,356 ล้านบาท จากปัจจุบันมีงานอยู่ในมือ 8,147 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 5,229 ล้านบาท แนวราบ 1,127 ล้านบาท โดยบริษัทฯเตรียมเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวโครงการแรกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโครงการต่างๆนั้นยังเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนี่ยมติดรถไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ IDEO ที่มีทำเลที่ตั้งใจกลางกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก 8 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2.6 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น งบในการซื้อที่ดิน 5,850 ล้านบาท และงบในการก่อสร้างอีก 6,150 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯคาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธิได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท จากปี 56 ที่มีกำไรสุทธิ 811.53 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีแผนที่จะบริหารต้นทุนทั้งในการขายและต้นทุนการตลาดให้ลดลงจากปี 56 ซึ่งจะส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก จากปัจจุบันอยู่ที่ 9% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะลดลงเหลือ 33% จากเดิมอยู่ที่ 37% เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนีย ELIO เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นจะน้อยกว่าโครงการ IDEO
นายเสริมศักดิ์ กล่าวถึงตลาดคอนโดมิเนียมว่า คงมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าไม่รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง ถึงแม้ว่าคอนโดฯ จะอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าก็ตาม เนื่องจากรถไฟฟ้ายังมีความต้องการของผู้ที่ต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง และยังตอบสนองความสะดวกสบายของผู้ใช้อีกด้วย