ล่าสุด TTA ได้ลงนามในสัญญาซื้อเรือบรรทุกสินค้าแห้งกองเรือมือสองจำนวน 3 ลำ ทำให้ปัจจุบัน TTA มีกองเรือ ทั้งสิ้น 23 ลำ ขนาดระวางบรรทุกเฉลี่ย 50,402 เดทเวทตัน
ในส่วนบมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส(UMS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย คาดว่า จะเริ่มทำกำไรได้ในงวดปี 57 นี้ พร้อมระบุว่า อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรใหม่เพื่อขยายธุรกิจ
และคาดจะนำบริษัท PM Thoresen Asia Holdings เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 57 จากที่ได้ยื่นไฟลิ่งไปแล้ว
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA เปิดเผยว่า บริษัทจะซื้อเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองมือสองเพิ่มเป็น 25 - 30 ลำในปีนี้จากปัจจุบันมี 23 ลำ หลังจากที่บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนเต็มจำนวน 4,173 ล้านบาทที่ดำเนินการเมื่อก.พ. 57 ที่ผ่านมา จะช่วยเพิ่มกำไรได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทมีรายได้เฉลี่ย 12,000 เหรียญ/ลำ/วัน ขณะที่มีต้นทุนอยู่ที่ 9,000 เหรียญ/ลำ/วัน
แม้ว่าขณะนี้ราคาเรือมือสองเพิ่มสูงขึ้นมาเป็น 23-24 ล้านเหรียญ/ลำ จากปีก่อน 16.5 ล้านเหรียญ/ลำ แต่เมื่อมีจำนวนเรือมากขึ้นจะถัวเฉลี่ยต้นทุนของกองเรือทั้งหมดที่จะชดเชยต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการได้เรือมือสองบริษัทสามารถทำรายได้และกำไรได้ทันที จากแต่ก่อนต้องสั่งต่อเรือลำใหม่ทำให้เสียโอกาสไป
"การที่ราคาเรือมือสองและดัชนีระวางเรือเพิ่มสูงขึ้นเป็นการสะท้อนธุรกิจชิปปิ้งสู่ขาขึ้น...จะซื้อ 25 ลำ หรือ 30 ลำ ขึ้นอยู่กับราคาเรือ ตาม Budget จริงอยุ่ที่ 25 ลำ แต่รามีเงินทุนรองรับได้ถึง 30 ลำ สิ่งสำคัญคือทำกำไรได้" นายเฉลิมชัย กล่าว
ส่วนธุรกิจของบมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ (TTA ถือ 57%) นายเฉลิมชัยกล่าวว่า จากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารจากเดิมที่มีความเสี่ยงไม่ได้รับงานในช่วง low season ในช่วงต้นปีที่เป็นหน้ามรสุม บริษัทได้ปรับมาหาสัญญาระยะยาว โดยปัจจุบันมีงานในมือ (backlog) จำนวน 750 ล้านเหรียญ ทยอยรับรู้ใน 3 ปีๆละประมาณ 30% และลูกค้า 75% เป็นประเทศแถบตะวันออกกลาง ล่าสุด (มี.ค.)ได้งานสัญญาให้บริการวิศวกรรมใต้น้ำ ระยะเวลา 2 ปี กับ BB offshore จากอังกฤษ รวมทั้งแนวโน้มธุรกิจพลังงานเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้งานบริการของเมอร์เมดขยายตัวไปด้วย จึงได้สั่งต่อเรือดำน้ำ 1 ลำ และแท่นขุดเจาะรวมทั้งแท่นลอยน้ำ 2 แท่น รวมมูลค่า 430 ล้านเหรียญ รับมอบในอีก 2 ปี แต่หากมีงานเข้ามามากบริษัทสามารถเข่าเรือมาให้บริการเพิ่มได้
*คาด UMS ปีนี้เริ่มทำกำไร
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ในงวดปีนี้ (ต.ค.56-ก.ย.57) บริษัทคาดว่า UMS จะเริ่มทำกำไรได้ จากปีก่อนมีผลขาดทุน 375.74 ล้านบาท และผลขาดทุนลดลง โดยไตรมาส 1/57(ต.ค.-ธ.ค.56) มีผลขาดทุน 40.45 ล้านบาท จากการที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมา 2 ปีมาแล้ว และเห็นว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว ประกอบกับบริษัทมีแผนจะขายสต็อกสินค้าที่เป็นถ่านฝุ่นที่เหลืออยู่ราว 4-5 แสนตันออกไปเพื่อให้บริษัทมีสภาพคล่อง และบางส่วนคืนเงินกู้ที่มีอยู่กว่า 1 พันล้านบาท เพื่อลดต้นทุนการเงินของ UMS
พร้อมกันนั้นบริษัทมีแผนปรับลดขนาดธุรกิจ โดยได้เจรจาพันธมิตรหารือการทำธุรกิจใหม่เพื่อพยุงธุรกิจ UMS และลดต้นทุนธุรกิจ โดยได้เข้ามาดูโรงงานเก็บถ่านหินที่ต.สวนส้ม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ที่มีพื้นที่กว่า 60 ไร่ แม้ว่าขณะนี้จะสามารถเปิดดำเนินการได้แล้วหลังจากหยุดประกอบกิจการถ่านหินไป
"ปีนี้เราต้องทำให้ UMS มีกำไรได้ ตอนนี้ก็ขาดทุนลดลง เรามองหาจุดแข็งของ UMS ที่ยังมี Inventory อยู่ 4 แสนกว่าตันถึง 5 แสนตันที่อยู่ทั้ง 2 โรงงาน" นายเฉลิมชัย กล่าว
สำหรับ บริษัท PM Thoresen Asia Holdings (PMTA) ซึ่งมีธุรกิจหลักคือธุรกิจปุ๋ยในเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตดีซึ่งปีที่แล้วมีกำไรสุทธิ 270 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงครึ่งหลังปี 57 หลังจากที่ยื่นไฟลิ่งไปแล้วเมื่อก.พ.ที่ผ่านมา โดยหลังจากเข้าตลาดแล้ว สัดส่วน TTA จะลดลงเหลือ 65% จากปัจจุบันถือ 100%
ทั้งนี้ 3 ธุรกิจหลักของ TTA คือ ธุรกิจเดินเรือ ธุรกิจพลังงาน (เมอร์เมด) และสาธารณูปโภค คือ UMS และ PMTA สัดส่วน EBITDA จะใกล้เคียงกันคือ 1 ใน 3
"อะไรที่ลงทุนไปแล้วลงทุนผิดพลาดเราก็ต้องยอมรับ แล้ว write off ออกไปเพื่อให้ผู้ถือหุ้นสามารถรู้มูลค่าทรัพย์สินบริษัทที่แท้จริง ...ผมก็เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งก็อยากให้เห็นสิ่งที่สะท้อนจริง ในช่วง 2 ปีที่เรา Restructure และปีนี้เรา growth และทำกำไร" นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัยได้พบกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งระบุว่า มีมุมมอง positive ต่อหุ้น TTA ขณะเดียวกัน นายเฉลิมชัยไม่มีแผนซื้อหุ้น TTA เพิ่มแต่อย่างใด ตอบเพียงสั้นๆว่า ขณะนี้พอใจแล้ว