ขณะที่คาดว่ารายได้จะเติบโตเพียง 10-15% ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 18% โดยจะมาจากยอดขายใน 4 ธุรกิจหลักของบริษัทฯ แบ่งเป็น ธุรกิจในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนามมีการเติบโตมากขึ้น, ธุรกิจสินค้าสินค้าอุปโภคและบริโภค หลังจากบริษัทฯได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท ไทอัน เวียดนาม และ บริษัท ไทย คอร์ปอเรชั่น หรือ ไทยคอร์ป โดยมองว่าจะมีการรับรู้รายได้ในส่วนนี้เข้ามาเต็มปี ซึ่งจะสนับสนุนต่อผลกำไรให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย และธุรกิจค้าปลีก โดยบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาทจะใช้ในการย้ายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ จากเดิมมีที่ตั้งโรงงานอยู่ที่เขตราษฎร์บูรณะ ไปยังจ.สระบุรี คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 400 ตัน/วัน จากเดิมมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,800 ตัน/วัน รวมเป็นจะกำลังการผลิตทั้งสิ้น 2,200 ตัน/วัน พร้อมกันนี้จะใช้เงินอีกจำนวน 3,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาบีมาร์ท (B'S MART) โดยปีนี้บริษัทฯจะลงทุนขยายสาขาเพิ่มเป็น 100 สาขา จากเดิมมีแล้ว 68 สาขา และขยายสาขาร้านขายยา OGENKI จากเดิมปี 56 เปิดสาขาไปแล้ว 8 สาขา โดยปีนี้ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มเป็น 28 สาขา
"ปีนี้เราเน้นในเรื่องของการลดต้นทุน และควบคุมต้นทุนของวัสดุไม่ให้สูงขึ้น แต่แผนการดำเนินงานต่างๆก็ยังเป็นไปในแนวทางเดิม ซึ่งเราก็มีการปรับแผนมาตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอมรับว่าผลประกอบการลดลงมาอยู่แล้ว เนื่องจากผลกระทบทางการเมือง โดยเราจะพยายามรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้เท่าเดิมจากปี 56 อยู่ที่ 23.9%"
นอกจากนี้บริษัทฯยังมองหาช่องทางการจำหน่ายเพิ่มจากที่มีช่องทางการจำหน่ายทั้งในรูปแบบ Warehouse Convenient Store หรือ Outlet detail รวมถึง Modern Trade ขณะเดียวกันก็มีแผนปรับรูปแบบการจำหน่ายในประเทศเวียดนามจาก Convenient Store เป็น Premium warehouse ซึ่งยังอยู่ระหว่างการศึกษา