(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้ามีโอกาสถูก take profit หลัง P/E ตลาดสูง-ไร้ปัจจัยใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 17, 2014 09:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะถูก take profit เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว จนปัจจุบันมีการเทรดด้วย P/E สูงมากถึง 14.8 เท่า ขณะที่ตลาดฯยังไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามา นอกจากนี้ปัจจัยการเมืองก็ยังกังวลอยู่และต้องติดตามดูต่อไป

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบ โดยปัจจัยจากภายนอกประเทศก็ยังเป็นเรื่องสถานการณ์ในยูเครนที่จะต้องติดตาม และควรจะติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 18-19 มี.ค.นี้ด้วย

พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,360 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,380 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์คล่าสุด(14 มี.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,065.67 จุด ลดลง 43.22 จุด (-0.27%) ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 1,841.13 จุด ลดลง 5.21 จุด (-0.28%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 4,245.40 จุด ลดลง 15.02 จุด(-0.35%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 73.34 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 45.12 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 9.63 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.25 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 1.85 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.54 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ ลดลง 1.80 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 8.72 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(14 มี.ค.)ที่ 1,372.18 จุด เพิ่มขึ้น 1.68 จุด (+0.12%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,469.00 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มี.ค.57
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(14 มี.ค.)ที่ 98.89 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.69 ดอลลาร์หรือ 0.7%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(14 มี.ค.)ที่ 6.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.28/30 แข็งค่า จากความกังวลยูเครน-ไครเมีย,จับตาราคาทอง
  • นักเศรษฐศาสตร์ชี้ผลกระทบยกเลิกโครงการ "2 ล้านล้าน" ไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจ แนะรัฐบาลใหม่ เร่งทบทวน-จัดลำดับความสำคัญโครงการ ระบุระยะยาวมีความจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หนุนกลับมาใช้งบปกติลงทุน เชื่อฐานะการคลังแกร่งรองรับได้และแก้ปัญหากระบวนการตรวจสอบ
  • คลังรับปีนี้หืดจับ แผนจัดเก็บรายได้ส่อหลุดเป้า 5 หมื่นล้านบาท ด้าน 3 กรมภาษีโอดการเมืองยืดเยื้อ ไร้แววรัฐบาลใหม่ กระทบเศรษฐกิจหนัก คนเบรกใช้จ่าย ลงทุนชะลอ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ นำเสนอบทความ "FDI ให้อะไรกับเศรษฐกิจใต้" ว่า จากเงินลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ล่าสุดในเดือน ม.ค.ปีนี้ ที่มีมูลค่า 1,905 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.15 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะประเทศในเอเชียที่ลงทุนในภาคใต้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์รายงาน พบว่ามูลค่าเงินลงทุนโดยตรงเข้ามาในอุตสาหกรรมการผลิตสัดส่วนมากที่สุด 37%
  • ธปท.เผยสินเชื่อธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลถูกกระทบชัดเจนจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการเมืองยังไม่คลี่คลาย ทำยอดขอสินเชื่อผ่านบัตรเครดิตติดลบ 1.87 หมื่นล้านบาท หดตัว 6.45% ผู้ประกอบการทุกประเภทโดยหมวดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลติดลบ 681 ล้านบาท ขณะที่ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมติดลบ 2.27 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 15.01% ภายในเดือนเดียว ใช้จ่ายในประเทศหดตัวมากสุด 2.33 หมื่นล้านบาท ติดลบ 18.19%

*หุ้นเด่นวันนี้

  • STEC(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 21.50 บาท ประเมินจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทจำกัด เนื่องจากยังมีงานในมือปัจจุบัน (Backlog) กว่า 5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าการรับงานในปี 2557 จะมาจากภาคเอกชนถึง 70% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่จะเริ่มประมูลใน 2Q57 ราว 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงงานในกลุ่มสนามบินที่อยู่ระหว่างขยายพื้นที่ และกลุ่มค้าปลีกที่อยู่ระหว่างขยายสาขาเพิ่ม ขณะที่จุดเด่นสำคัญจะอยู่ที่ฐานะทางการเงินที่ไม่มีภาระเงินกู้ และมีเงินสดในมือกว่า 2.3 พันล้านบาท
  • HMPRO(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้าก่อน XD ที่ 11.40 บาท มองว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉินฯ ในวันพรุ่งนี้ จะเป็นปัจจัยหนุนกับหุ้นค้าปลีกในกลุ่ม Non-Food อย่าง HMPRO มากที่สุด ขณะที่มองว่าราคาหุ้นสะท้อนความเสี่ยงจากเศรษฐกิจในประเทศที่จะกระทบกำไรปีนี้แล้ว และคาดว่าครึ่งปีหลังกำไรสุทธิจะกลับมาเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ประเมินกำไรสุทธิปี 2557 ยังคงเพิ่มขึ้น 14% YoY นอกจากนี้ปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside Risk ในระยะสั้นคือการที่บริษัทประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.0159 บาท และหุ้นปันผลอัตรา 7 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล (XD 18 เม.ย.)
  • TOP(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 60 บาท ประเมินหุ้นกลุ่มพลังงานมีโอกาส Outperform ตลาดได้ในสัปดาห์นี้ ตามการไต่ระดับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพื่อทดสอบ US$100.00/barrel จากความตึงเครียดในยูเครน หลังผลการนับคะแนนประชามติเช้านี้ที่นับไปแล้วราว 50% มีคะแนนเสียงราว 90% ลงมติเห็นด้วยให้ไครเมียเป็นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย พร้อมคาดกำไรสุทธิ 1Q57 เติบโตโดดเด่น จากค่าการกลั่นเฉลี่ย QTD ที่เพิ่มขึ้นถึง +49.6% qoq เป็น US$6.39/barrel และคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงกลั่น และราคาหุ้นมี Downside ที่จำกัด
  • GOLD(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อ"เป้า 8.90 บาท เชื่อปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ Turnaround และส่งผลให้ผลประกอบการพลิกกลับเป็นกำไรได้ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป โดยเป้าหมายหลักในปี 57 คือการปรับโครงสร้างบริษัท โดยขาย Non-Core Asset ที่มีอยู่ในมือเป็นจำนวนมากออกไป เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินทุนหมุนเวียน และส่งผลให้บริษัทกลับมาเน้นนโยบายเชิงรุกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบได้อีกครั้ง พร้อมคาด 2Q57 จะมีกำไรพิเศษราว 300 ล้านบาท จากการขายที่ดิน พร้อมอยู่ระหว่างศึกษาการจัดตั้ง REIT อาคารสำนักงาน Sathorn Square ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า และคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทบันทึกกำไรพิเศษได้สูงถึง 800-1000 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ