ทั้งนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เพิ่มมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่รัสเซียได้ทำการฝึกซ้อมกำลังทหารที่ชายแดนระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์และพลเมืองเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐและยุโรปที่จะดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซีย ทิสโก้ เวลธ์ มองว่ามาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวไม่มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกจะไม่ลุกลามเป็นสงคราม ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยกดดันตลาดระยะสั้นเท่านั้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง อาทิ ดัชนีหุ้นยุโรป Euro STOXX50 ปรับลดลง 1.5%,ดัชนีหุ้นสหรัฐ S&P500 ปรับลดลง 1.2%, ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225ปรับลดลง 3%, ดัชนีหุ้นจีน HSCEI ปรับลดลง 4.2% ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงควรทยอยขายหุ้นไทยที่เริ่มมีอัพไซด์จำกัด และเข้าลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียเหนือและญี่ปุ่น ซึ่งปรับตัวลงแรงแต่ตัวเลขเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งในระยะยาว
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมี Upsideที่ดีเนื่องจากอัตราการขยายตัวของกำไรที่สูงโดดเด่นถึง 17% ในปีนี้ และด้วย P/B ที่ยังต่ำเพียง 1.5 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่ 1.8 เท่า ทำให้หุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในปีนี้ ส่วนเอเชียเหนือจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปที่ฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ยังเทรดที่P/EและP/Bต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งด้วยแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูก จะทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเหนือสามารถดึงดูดเงินลงทุนที่จะไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ได้เป็นจำนวนมาก และทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเหนือสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ ในปีนี้