"ภายในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มเป็น 70% ซึ่งจาก 2 เดือนที่ผ่านมาเราก็ทำได้เกินเป้าที่เราตั้งไว้แล้ว เราก็มองว่าแม้จะมีสถานการณ์บ้านเมืองหรือเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น แต่เรายังมั่นใจตัวเลขที่เราประมาณการยอดขายรวมในปีนี้ ด้วยเหตุจากการถือครองเป็นฟรีโฮลด์ หรือว่าความคืบหน้าของโครงการที่ชัดเจนขึ้นมาก"นายสรพล กล่าว
ทั้งนี้ การเปลี่ยนเป็น Free hold นั้น บริษัทได้ใช้เงินลงทุนเพื่อซื้อที่ดินประมาณ 1,500 ล้านบาท ทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านบาท จากเดิม 19,000 ล้านบาท เป็น 21,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทสามารถปรับเพิ่มราคาขายขึ้นอีก 15-20% โดยเฉลี่ย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น(Gross Margin)เพิ่มขึ้นราว 4% มาที่ 36-37%
ส่วนพื้นที่โครงการ คิวบ์ ไลฟ์สไตล์ รีเทล เซ็นเตอร์ ในโครงการมหานคร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะเปิดให้บริการเฟสแรกในต้นเดือน มี.ค.นี้และจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/57 และคาดว่าจะเปิดครบทั้งโครงการได้ในปลายปี ขณะที่โครงการมหาสมุทร ในส่วนของวิลล่าตากอากาศที่หัวหิน มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาทจะเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 3/57
นายสรพล กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตอีกประมาณ 200 ล้านบาท จากปี 56 มีรายได้ 345 ล้านบาท หลังจากมีการโอนห้องชุดในโครงการศาลาแดง เรสซิเดนเซส และโครงการไฟคัส เลน สุขุมวิท 44 โดยขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog)อยู่ที่ราว 5,700 ล้านบาท
จากนั้นในปี 58 จะมีรายได้จากโครงการมหานครเพิ่มเข้ามาประมาณ 3,000 ล้านบาท และโครงการมหาสมุทรอีก 3,000 ล้านบาท รวมเป็น 11,700 ล้านบาท จะเป็นการทยอยรับรู้รายได้ในปี 58-59 ซึ่งทำให้รายได้เติบโตก้าวกระโดดในช่วงหลังจากนี้ และบริษัทจะพลิกเป็นมีกำไรปี 58 หลังจากปี 56 ขาดทุนอยู่ 795 ล้านบาท และในปี 57 ยังคงขาดทุน แต่ลดลงจากปีก่อน โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% เมื่อเริ่มมีกำไร
บริษัทมีแผนนำโครงการมหานคร คิวบ์ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขายเป็นสินทรัพย์ของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ช่วงปลายปีนี้ จากเดิมที่มีแผนจะจัดตั้งกองทุนดังกล่าวในไตรมาส 2/57 เพื่อรอกฎเกณฑ์ด้านภาษีให้มีความชัดเจน และให้มีการเปิดโครงการได้เต็ม 100% ก่อน
พร้อมกันนั้น บริษัทฯมีการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการออกหุ้นกู้ในวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนและลงทุนโครงการมหาสุมทร หลังสวน ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดตัวโครงการได้ในปีนี้ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่เพียง 0.8 เท่า
นายสรพล กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่มีความท้าทายสูง ตลาดกลุ่มไฮเอนด์จะยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะซัพพลายมีน้อยขณะที่ดีมานด์สม่ำเสมอ รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนตัวส่งผลต่อความต้องการซื้อจากลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น อีกทั้งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์นั้นมักจะไม่ได้รับผลกระทบจากการผันผวนของเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกอื่นๆ เนื่องจากลูกค้ามีความมั่นคงทางด้านรายได้และมีกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูง