ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดราว 3,400 ล้านบาท และหากกลุ่มมิตซุยจากญี่ปุ่นที่ถือหุ้น KBS ในสัดส่วน 9% ใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์)จำนวน 50 ล้านหุ้นในกลางปีหน้าที่ราคาใช้สิทธิ 12.70 บาท/หน่วย ก็จะทำให้บริษัทได้รับเงินเข้ามาอีกราว 600 ล้านบาท ขณะทีบริษัทมีภาระหนี้สินราว 1 พันล้านบาท และยังสามารถกู้เพิ่มได้อีก 5,000 ล้านบาท
นายทัศน์ กล่าวว่า แนวโน้มปริมาณหีบอ้อยในปีนี้จะอยู่ที่ 2.67 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนที่ 2.55 ล้านตัน โดยปัจจุบันมีปริมาณหีบอ้อยเข้ามาแล้ว 1.97 ล้านตัน และจากสภาพอากาศแห้งแล้งส่งผลให้จะมีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็น 15%
"ปีนี้เราจะมีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นจากผลผลิตที่ดีขึ้นและประสิธิภาพที่ดีขึ้น คาดว่าน่าจะมีผลผลิตเกิน 108% จากปีก่อนอยู่ที่ 97%"นายทัศน์ กล่าว
ขณะที่ทิศทางราคาน้ำตาลโลกคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.57 เป็นต้นไป จากปัจจุบันราคาน้ำตาลตกต่ำมาอยู่ที่ 18-19 เซนต์/ปอนด์ เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 22 เซนต์/ปอนด์ เนื่องจากปริมาณน้ำตาลส่วนเกินในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านตัน รัฐจึงออกมาช่วยอุดหนุนต้นทุน ทำให้ราคาในประเทศสูงกว่าราคาส่งออก แต่มองว่าในปี 58 อินเดียจะลดการผลิตลงจะทำให้ซัพพลายลดลงด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกน้ำตาลไปยังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ถึง 70% ของผลผลิตโดยรวม และอีก 30% จะเป็นการขายภายในประเทศ ซึ่งจากการอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลต่อกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมองกรอบเงินบาทปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์
สำหรับรายได้รวมในงวดปี 56/57 คาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็น 6,500-6,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5,972 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากงวดปีก่อนอยู่ที่ 18% หลังจากมีรายได้โรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 35 เมกกะวัตต์เข้ามาเสริม ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าตั้งแต่เดือนเม.ย.57 หรือประมาณ 400 ล้านบาทในปีนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเพิ่มกำไรสุทธิให้บริษัทประมาณ 150 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปีแรกบริษัทยังรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าชีวมวลเพียง 9 เดือน และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอาจยังไม่ 100% ดังนั้น กำไรจากโครงการนี้ยังมี upside ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 250-300 ล้านบาทในงวดปี 58/59