สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB155A (อายุ 1.2 ปี) LB176A (อายุ 3.3 ปี) และ LB196A (อายุ 5.3 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 28,650 ล้านบาท 25,740 ล้านบาท และ 17,774 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB15108A (อายุ 300 วัน) CB14410A (อายุ 27 วัน) และ CB14325A (อายุ 14 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 29,608 ล้านบาท 27,822 ล้านบาท และ 27,219 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) รุ่น TICON191A (A) มูลค่าการซื้อขาย 613 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รุ่น MINT18OA (A) มูลค่าการซื้อขาย 368 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) รุ่น QH144A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 345 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงตลอดทั้งเส้น โดยเฉพาะในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุน้อยกว่า 3 ปี ที่ปรับตัวลดลงในช่วงประมาณ -7 ถึง -14 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ภายหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% มาอยู่ที่ 2% ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ที่ช่วยให้ กนง. สามารถดำเนินนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ยได้ ดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงมีผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Yield) ปรับตัวลดลงตามไปด้วย (ราคาพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น) โดยเฉพาะในกลุ่มของตราสารหนี้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องติดตามผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 – 19 มีนาคมนี้ เนื่องจากจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของมาตรการ QE ที่จะมีผลต่อการไหลเข้า-ออกของกระแสเงินทุนต่างชาติในช่วงระยะเวลาถัดไป
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 13,862 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 8,472 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 5,390 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 58 ล้านบาท