อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่บริษัทซื้อกิจการเข้ามาในปี 2555 อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการมีประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจคลังสินค้า และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจคลังเอกสาร อย่างไรก็ตาม ความแข่งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจอาหารบริการด่วนและผลประกอบการของธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงฐานะการเงินของบริษัทที่อ่อนตัวลงและผลประกอบการที่ประสบภาวะขาดทุนจากธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืช
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตสามารถปรับกลับมาเป็น “Stable" หรือ “คงที่" ได้เช่นเดิมหากบริษัทสามารถปรับปรุงผลขาดทุนจากธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืช หรือสามารถขายธุรกิจดังกล่าวออกไปได้ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้น ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็มีโอกาสถูกปรับลดลงหากบริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องใช้เวลามากขึ้นในการปรับปรุงฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
SST ก่อตั้งในปี 2519 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2530 ณ เดือนพฤษภาคม 2556 ครอบครัวชินธรรมมิตร์และกลุ่มเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกันจำนวน 67.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เริ่มแรกบริษัทดำเนินธุรกิจคลังสินค้าและท่าเรือที่จังหวัดสมุทรปราการ และต่อมาได้ขยายกิจการสู่ธุรกิจคลังเอกสาร บริษัทขยายกิจการสู่ธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้มีผลประกอบการที่อ่อนแอและประสบภาวะขาดทุน
ในปี 2555 บริษัทได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจอาหารบริการด่วนโดยการซื้อกิจการของ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด (GD) บริษัท เอบีพี คาเฟ (ประเทศไทย) จำกัด (ABP) และ บริษัท โกลเด้น สกู๊ป จำกัด (GS) โดย GD เป็นบริษัทที่ถือสิทธิในการประกอบธุรกิจร้าน “Dunkin’ Donuts" ในประเทศไทย และ “Dunkin’ Donuts" เป็นเครือข่ายร้านอาหารบริการด่วนที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก ส่วน ABP เป็นบริษัทที่ถือสิทธิในการประกอบธุรกิจอาหารภายใต้ตรา “Au Bon Pain" และ GS เป็นผู้ประกอบกิจการจำหน่ายไอศกรีมภายใต้แบรนด์ “Baskin Robbins" แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
หลังจากการซื้อกิจการต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ฐานธุรกิจของบริษัททรัพย์ศรีไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ในปี 2556 ธุรกิจอาหารซึ่งเป็นธุรกิจหลักสร้างรายได้ให้แก่บริษัท 86% ของรายได้ทั้งหมด อีก 11% มาจากธุรกิจคลังสินค้า และ 3% มาจากธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืช ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 2,131 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 2,147 ล้านบาทในปี 2555 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหยุดผลิตของธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
ณ สิ้นปี 2556 Dunkin’ Donuts มีสาขา 246 แห่งทั่วประเทศไทย ในขณะที่ Au Bon Pain มีสาขารวม 60 แห่ง และ Baskin Robbins มีสาขารวม 23 แห่ง แม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ แต่ธุรกิจอาหารของบริษัทยังคงเติบโต 12% ในปี 2556 โดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหาร 1,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,627 ล้านบาทในปี 2555 การเติบโตดังกล่าวเกิดจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของทั้ง 3 แบรนด์ โดย Dunkin’ Donuts และ Au Bon Pain เป็นแบรนด์ที่แข็งแรงและมีกระแสเงินสดเป็นบวก ในขณะที่ Baskin Robbins ยังคงต้องใช้เวลาในการสร้างแบรนด์และผลการดำเนินงาน
สำหรับธุรกิจคลังสินค้า บริษัทเป็นเจ้าของคลังสินค้าและคลังเอกสารรวม 51 หลังและมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า โดยมีพื้นที่เก็บสินค้าทั้งสิ้น 81,769 ตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทมีรายได้จากธุรกิจนี้ 242 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% โดยกว่า 60% ของรายได้ของธุรกิจคลังสินค้ามาจากธุรกิจคลังเอกสาร และในอนาคตโอกาสเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าของบริษัทจะมาจากธุรกิจคลังเอกสารเป็นหลัก
แม้บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการหลายแห่ง แต่ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทยังคงอ่อนตัว กล่าวคือ บริษัทมีผลขาดทุนติดต่อกัน 2 ปี คือ 181 ล้านบาทในปี 2555 และ 107 ล้านบาทในปี 2556 ผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจากผลการดำเนินงานที่ขาดทุนของธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืช และการบันทึกการด้อยค่าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืช นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่บริษัทใช้เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ในการซื้อกิจการเป็นหลัก ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีผลประกอบการขาดทุน ฐานะการเงินของบริษัทต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงสุดที่ 59.9% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสภาพคล่องที่ยอมรับได้อันเป็นผลจากกระแสเงินสดที่สม่ำเสอของธุรกิจอาหารและคลังสินค้า บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายรวมกันจำนวน 284 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนที่ 265 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 2.3 เท่าในปี 2556 และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 7.9%
ธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชยังคงเป็นภาระของบริษัท ในขณะที่บริษัทยังไม่มีรายได้จากธุรกิจนี้ แต่กลับมีต้นทุนคงที่และภาระทางการเงินประมาณ 90 ล้านบาทต่อปีในอีก 3 ปีข้างหน้าจากธุรกิจดังกล่าว บริษัทมีแผนจะขายธุรกิจถั่วเหลืองและน้ำมันพืชออกไป อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ ทั้งนี้ หากบริษัทสามารถขายธุรกิจที่สร้างผลขาดทุนออกไปได้ ฐานะการเงินของบริษัทก็จะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน