นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ECF เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นในปีนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวภายในประเทศ โดยจะมีการเข้าไปเจรจากับกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายใหญ่ในญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/57 ขณะที่ลูกค้าเดิมในประเทศ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และฟิลิปปินส์ มีออเดอร์เพิ่มมากขึ้น
"ล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในไตรมาส 2 ปีนี้ และมั่นใจว่าจะได้งานดังกล่าวมากกว่า 80% ขึ้นไป อีกทั้งหากได้งานข้างต้นบริษัทฯจะมียอดขายเข้ามาประมาณเดือนละ 15-20 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ อีก 15-20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 80% และตั้งงบลงทุนไว้ 100-150 ล้านบาท"นายอารักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้ายอดขายปี 57 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
"ปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตไว้ 15% เป็นอย่างต่ำ และตั้งเป้าหมายเติบโต ECF ภายใน 3 ปีให้มากกว่า 15% ซึ่งเราก็พยายามหาช่องทางการเติบโตอื่นๆอีกด้วยที่นอกเหนือจากเฟอร์นิเจอร์ โดยในไตรมาส 1-2 นี้จะลงทุนการตลาด 60 ล้านบาท และไตรมาส 3-4 จะมีการลงทุนขยายกำลังการผลิต หากสามารถเจรจากับลูกค้าญี่ปุ่นได้ก็สามารถดำเนินการได้เลย"นายอารักษ์ กล่าว
บริษัทยังเตรียมขยายสาขาโชว์รูม ELEGA ใน Index Livingmall และ Homepro อีก 4-6 สาขา จากเดิมมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 14 สาขา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนจำนวน 60 ล้านบาท พร้อมทั้งจะใช้ในการปรับภาพลักษณ์โชว์รูมทุกแห่ง และสินค้าให้มีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและบน ขณะที่แบรนด์ใหม่ a7 ช่วงครึ่งปีแรกจะมีการวางจำหน่ายใน Mega home เพิ่มอีก 2 สาขา คือ สาขาหนองคาย และสาขาชลบุรี ที่จะเปิดในต้นไตรมาส 2/57
สำหรับยอดขายไตรมาส 1/57 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเติบโตเพิ่มขึ้น 18-20% หรือคาดว่าจะมากกว่า 300 ล้านบาท จากไตรมาส 1/56 อยู่ที่ 288 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง เอเชีย และฟิลิปปินส์ โดยปุจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศ 60% และในประเทศ 40% จากปีก่อนสัดส่วนต่างประเทศอยู่ที่ 45% และ 55% เป็นในประเทศ
นายอารักษ์ กล่าวว่า ตลาดส่งออกเฟอร์นิเจอร์ในปี 57 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยที่จะส่งผลกระทบจะมาจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ เช่น ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด ไม้ยางพารา พฤติกรรมของผู้บริโภคมีมุมมองต่อเฟอร์นิเจอร์เป็นสินค้าแฟชั่นมากขึ้น และนโยบายอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ที่มีผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงความไม่แน่นนอนทางการเมืองในประเทศ
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ในการดำเนินงานทั้งในประเทศและต่างประเทศไว้ โดยบริษัทฯจะสร้างยอดขายจากฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้มียอดขายจากตลาดที่เริ่มฟื้นตัว อย่างสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ อย่างฟิลิปปินส์ อินเดีย และประเทศแถบตะวันออกกลาง
ด้านแผนการดำเนินงานในต่างประเทศ บริษัทฯจะรักษาส่วนแบ่งและการเติบโตตามการขยายตัวของกลุ่มโมเดิร์นเทรด อีกทั้งจะมีการขยายการเปิดสาขาแบรนด์เอลลีก้า อีก 6 แห่ง ใน Index Living Mall และ Home Pro รวมถึงสร้างแบรนด์ Costa ให้ครอบคลุมร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ทั่วประเทศ
“ในปีที่ผ่านมา ECF มีการเติบโตของผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ แม้จะมีปัญหาทางการเมืองช่วงปลายปี 56 แต่ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ไม่กระทบแต่อย่างใด ยังคงมียอดขายที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ บริษัทจึงมีแผนที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดด้วยการลงทุนขยายธุรกิจในปี 57 โดยเตรียมงบประมาณเพื่อลงทุนในเครื่องมือสนับสนุนกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ อาทิ การขยาย Warehouse เพื่อรองรับสินค้าก่อนส่งมอบให้ลูกค้า หลังมีออเดอร์เข้ามามากขึ้น การปรับปรุงพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าให้มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ ECF มีการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวได้เป็นอย่างดี มั่นใจได้ว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 57 จะยังคงเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% อย่างแน่นอน" นายอารักษ์กล่าว