(แก้ไข) SCC รับยอดขายปูนปีนี้โตชะลอเหลือเพียง 2-3%แต่คงเป้ายอดขายรวมโตกว่า 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 19, 2014 10:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า ยอดขายของปูนซิเมนต์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาแม้ว่ายังเติบโตได้ 4-5% แต่เป็นอัตราต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตราว 9% โดยเป็นการเติบโตจากหลายโครงการยังค้างท่ออยู่หรือยังอยู่ระหว่างดำเนินการจึงยังมีความต้องการใช้ปูนซิเมนต์

แต่ปกติในไตรมาสแรกของปีจะเป็นไตรมาสที่มีความต้องการใช้ปูนสูงสุด และจะต่ำมากในไตรมาส 3 ประกอบกับสถานการณ์การเมืองมีสภาพเช่นปัจจุบัน ก็คาดว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่คงล่าช้า ทำให้ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์น้อยลงไปอีกในไตรมาส 2, 3 และ 4 เนื่องจากไม่มีโครงการภาครัฐออกมา และยอดการขอส่งเสริมการลงทุนโรงงานใหม่ก็ลดลง 40% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

ดังนั้น SCC จึงคาดว่าทั้งปี 57 ยอดขายของปูนซิเมนต์จะเติบโตประมาณ 2-3% จากเดิมที่คาดโต 9% ส่วนยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างก็ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วง 2 เดือนแรกยอดขายติดลบ 7-8% และคาดว่าทั้งปีก็คงจะติดลบ 7-8% ตามภาวะอสังหาริมทรัพย์

"ยอดขายปูนทั้งปีคาดว่าไม่น่าติดลบ หรือไม่มี negative growth ซึ่งขึ้นกับรัฐบาลจะตั้งได้เร็วแค่ไหน"นายกานต์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยอดขายปิโตรเคมีที่บริษัทส่งออกในสัดส่วนเกิน 50%ปีนี้ และราคาตลาดโลกอยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งเงินบาทอ่อนตัวก็จะช่วยให้รายได้บริษัทมากขึ้น จึงเชื่อมั่นว่ายอดขายรวมในปี 57 ยังจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 4.34 แสนล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ (57-61) จะใช้งบลงทุน 2.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยลงทุนปีละ 5 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นการลงทุนโครงการเองและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) สัดส่วนอย่างละครึ่ง โดยในส่วนการลงทุนเองช่วงกลางปี 58 จะเริ่มเดินเครื่องโรงงานปูนซิเมนต์ในอินโดนีเซีย ขนาดกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน/ปี และโรงงานปูนซิเมนต์ในกัมพูชาแห่งที่ 2 กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี

ส่วนโรงงานปูนซิเมนต์ในพม่าที่มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน/ปี จะเปิดเดินเครื่องการผลิตได้ในปี 59

รวมทั้งการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามคาดว่าจะสรุปความชัดเจนเกี่ยวกับเงินกู้ในโครงการนี้ได้ในปลายปีนี้ และจะเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี และจะเริ่มผลิตได้ในปี 62 ทั้งนี้ เดิมตั้งวงเงินลงทุน 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ อนึ่ง โครงการนี้ SCC ถือหุ้นใหญ่ 46% ปิโตรเคมีเวียดนาม 29% และกาตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล 25%

นายกานต์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเวียดนามดีขึ้น สถาบันการเงินเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นจากเดิมที่เป็นห่วงภาคธนาคารของเวียดนาม หลังจากที่ผ่านมารัฐบาลได้เข้าไปแก้ไขปัญหา และจัดการให้บางส่วนแปรรูป ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รวมทั้งค่าเงินด่องของเวียดนามนิ่งแล้ว

นอกจากนี้ SCC มองหาการเข้าซื้อกิจการบริษัทที่มีเทคโนโลยีในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป และ สหรัฐ เพื่อให้บริษัทเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง คาดว่าปีนี้น่าจะได้ข้อสรุป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ