อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และรายได้ที่สม่ำเสมอจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมถึงแรงกดดันจากราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และภาระหนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะปานกลาง
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะไม่เพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับประมาณ 60% หรืออัตราส่วนภาระหนี้มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 1.5 เท่าในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
QH ก่อตั้งในปี 2526 ปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2556 ประกอบด้วย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (25%) และ The Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. (11%) บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง รายได้ในปี 2556 ของบริษัทอยู่ที่ 1.97 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับ 5 เมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคาหลังละ 5 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานในระดับที่ยอมรับได้ในกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยราคาระดับล่างซึ่งมีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาทต่อหลัง โดยตราสัญลักษณ์ที่อยู่อาศัยของบริษัทเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างสูงในกลุ่มผู้ซื้อบ้านจัดสรร
ฐานะการเงินของบริษัทในช่วงปี 2555 ถึงปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นในระดับที่น่าพอใจ โดยอัตราการเติบโตมาจากกลุ่มสินค้าที่อยู่อาศัยในระดับราคาระหว่าง 1-3 ล้านบาทต่อหน่วยและการเพิ่มขึ้นของยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมียอดขายในปี 2556 อยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน
ช่วงเวลาเดียวกัน รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 1.97 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ในปี 2556 อยู่ที่ 16.1% เปรียบเทียบกับ 12.5% ในปี 2555 และ 7.8% ในปี 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ 54.1% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 63.0% ในปี 2554 หลังเหตุการณ์อุทกภัยในกรุงเทพฯ อัตราส่วนเงินกู้ที่ปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่บริษัทได้รับเงินสดจากการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 2 พันล้านบาทในปี 2555
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานอย่างน้อยอยู่ที่ 1.6-1.9 หมื่นล้านบาทต่อปี รายได้จากโครงการแนวราบคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี และส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2556 บริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) อยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่จะโอนในปี 2557-2558 มีมูลค่าประมาณ 4-4.5 พันล้านบาทต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะค่อนข้างมีเสถียรภาพ ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 55% โดยพิจารณาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทที่มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี
บริษัทยังคงมีสภาพคล่องในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 ภาระหนี้ระยะยาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 4 พันล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะชำระคืนหนี้ส่วนใหญ่ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ แหล่งสภาพคล่องของบริษัทได้แก่วงเงินระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่า 3.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5-1.9 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ด้วยมูลค่ายุติธรรมที่ 2.38 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 ด้วย