ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1.6 พันไร่ โดยเชื่อว่าตจะสามารถทำยอดขายได้ตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ายังไม่มีการยกเลิกทำสัญญา แต่เป็นการชะลอออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน จึงคาดว่าหากสถานการณ์ต่างๆ กลับสู่ภาวะปกตินักลงทุนก็จะกลับมาเซ็นสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้ในเบื้องต้นตั้งแต่ปลายปีก่อน
สำหรับงบลงทุนของบริษัทในปีนี้ยังคงไว้ที่ 6-7 พันล้านบาทตามเดิม แต่อาจจะต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อไปถึงช่วงไตรมาส 3-4/57 บริษัทก็อาจจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทบทวนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อีกครั้ง
"ปีนี้เรามีเป้าหมายที่จะรักษารายได้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อน รายได้ปีนี้เราก็จะได้รับรู้ส่วนหนึ่งมาจาก Backlog และรายได้จากโรงไฟฟ้า อีกส่วนหนึ่งจากการขายที่ดินใหม่ จากสถานการณ์ปัจจุบันเรายังเชื่อว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย เพราะก็ได้คุยกับลูกค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่มีการยกเลิกสัญญาถึงแม้ว่าอาจจะมีการชะลอออกไปบ้าง เชื่อว่าหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆสงบลง ลูกค้าก็จะกลับมาเซ็นสัญญาตามปกติ"นายเผ่าพิทยา กล่าว
นายเผ่าพิทยา กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายในระยะ 3-4 ปีข้างหน้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโรงงานให้เช่า และบริการด้านสาธารณูปโภคให้เป็น 60-65%จากปัจจุบัน 40% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการขายที่ดินจะลดลงมาเป็น 40-45% จากปัจจุบันอยู่ในระดับ 60% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
ขณะที่บริษัทคาดว่าปีหน้าจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าร่วมทุนเพิ่มอีก 8-9 โครงการ มาจากเงินลงทุนของบริษัทราว 3,240 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการลงทุนในสัดส่วนการถือหุ้น 20% กับทาง กัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 60-63 จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดเพิ่มเป็น 573 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 317 เมกะวัตต์