ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ(Backlog) มูลค่ามากกว่า 1,932 ล้านบาทแล้ว มาจากคำสั่งซื้อและการส่งมอบงานหม้อแปลงไฟฟ้า ให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)มูลค่า 227 ล้านบาท หน่วยงานเอกชนในประเทศ 762 ล้านบาท ส่งออก 265 ล้านบาท และบริษัทในเครือ 678 ล้านบาท ได้แก่ งานสายพานลำเลียงขี้เถ้าถ่านหินโครงการ Hongsa Mine Mouth Power Plant ที่ สปป.ลาว ของบริษัท แอล. ดี. เอส. เมทัล เวิร์ค จำกัด มูลค่า 448 ล้านบาท
และเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัท ถิรไทย อี แอนด์ เอส จำกัด บริษัทในเครือ ได้รับมอบสัญญาจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ในสัญญาซื้อขายรถขุดเจาะจำนวน 13 คัน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 110,210,000 บาท และรถพ่วงฉีดน้ำ จำนวน 4 คัน มูลค่า 21,892,000 บาท และงานอื่นๆ อีก 98 ล้านบาท
สำหรับงานที่มีโครงการจะเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่ากว่า 8,050 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น กฟน.2,300 ล้านบาท กฟภ.2,000 ล้านบาท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)100 ล้านบาท และในส่วนของภาคเอกชนภายในประเทศอีก 1,950 ล้านบาท และส่งออกประมาณ 1,000 ล้านบาท และงานประมูลของบริษัทย่อยอีก 700 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะสามารถชนะการประมูลงานได้มากกว่า 20-25%
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะยังคงรักษาระดับให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 20-25 % ควบคู่กับการรักษาสัดส่วนตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมาตรการในด้านอื่นๆ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อรักษาอัตราเติบโตของบริษัท