บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยม 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 10,560 ล้านบาท ยังคงให้ความสำคัญกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,560 ล้านบาท โดยมีโครงการที่ชะอำ-หัวหิน 1 โครงการ และในกรุงเทพฯ อีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม , โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม , โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ศรีสมาน , โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน-พระราม9 รวมถึง โครงการ โฮมออฟฟิศ เวิร์ค เพลส ราชพฤกษ์-จรัญฯ พร้อมกับโครงการแนวสูง คือ โครงการคอนโดมิเนียมหรูในระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ บริเวณศาลาแดง ภายใต้ซับแบรนด์ใหม่ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
สำหรับไตรมาสที่สองนี้ บริษัทจะเปิดพรีวิว 2 โครงการระดับพรีเมี่ยม ที่ชะอำและหัวหิน ในช่วงเทศกาลพิเศษรับซัมเมอร์ที่จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 5-15 เมษายน บริษัทได้จัดแคมเปญ VIP Visit กับ 2 โครงการที่พักตากอากาศติดชายทะเลบริเวณชะอำ-หัวหิน โครงการแรกจะเปิดพรีวิวโครงการใหม่ล่าสุด ชื่อ “โครงการ บูเลอวาร์ด ทัสคานี ชะอำ-หัวหิน" บ้านพักตากอากาศสไตล์ ทัสคานี บนพื้นที่ 52 ไร่ติดทะเล มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 193 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 6-40 ล้านบาทขึ้นไป
พร้อมกับโครงการเดอะเครสท์ ซานโตรา หัวหิน คอนโดมิเนียมและวิลล่าตากอากาศสไตล์ซานโตรินี่ ที่มีจุดเด่นทำเลคือ ติดชายหาดหัวหิน หน้ากว้างติดทะเลประมาณ 80 เมตร โดยเป็นอาคารโลว์ไรส์สูง 4 ชั้น จำนวน 10 อาคาร จำนวนเพียง 171 ยูนิต และ Ocean Front Pool Villa สุดหรูแบบส่วนตัว จำนวนเพียง 10 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 30 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ให้ลูกค้า VIP ได้เลือกชมห้องและสัมผัสทิวทัศน์บรรยากาศจริงก่อนใคร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า การเริ่มต้นทศวรรษที่ 2 หรือ ปีที่ 11 ของเอสซีฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนหลังจากที่สามารถทำรายได้เกิน 10,000 ล้านบาท ในปีที่ 10 ที่ผ่านมา ซึ่งก้าวสำคัญต่อไปคือ นอกจากการเติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไรสุทธิแล้วยังต้องสามารถรักษาหรือพัฒนามาตรฐานคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการขายได้อย่างต่อเนื่องภายใต้พันธสัญญา (Commitment) ที่ให้ไว้ต่อลูกค้าทั้งหมด โดยทิศทางหลักที่จะดำเนินการในช่วงแรกของทศวรรษที่ 2 ประกอบด้วย
การปรับปรุงและพัฒนาภายในองค์กร ตั้งแต่การวางแนวทางในการพัฒนาบุคลากร (Competency), กระบวนการทำงาน, รวมไปถึงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ ซึ่งจะรวมไปกับการเติบโตของจำนวนโครงการ จำนวนลูกบ้าน และ พนักงานที่มากขึ้นในแต่ละปี
การสร้างและสานต่อความสัมพันธ์ที่แข็งแรงต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจทั้งหมด (Stakeholder) นับตั้งแต่ ผู้ถือหุ้น , ลูกค้า, บริษัทคู่ค้า, พนักงาน และ สังคม เพราะการเติบโตที่แข็งแรงและยั่งยืนที่สุด คือการเติบโตไปพร้อมๆ กันและส่งเสริมกัน ซึ่งทั้ง 2 ทิศทางนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน
"ในปีนี้ บริษัทฯ จะมีโครงการที่เปิดขายรวมทั้งสิ้น 35 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 35,600 ล้านบาท ประกอบด้วยกับ โครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,560 ล้านบาท กับโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 28 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 25,000 กว่าล้านบาท"นายรัฐพงศ์ กล่าว