"เป้าหมายปีนี้เราตั้งไว้เติบโต 5-10% เนื่องด้วยปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงมองว่าน่าจะเติบโตไปได้ไม่มากนัก ซึ่งเราก็มีการบริหารจัดการลดต้นทุนเข้ามา ด้านกำไรมองว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อนแน่นอน"นางสุภาวดี กล่าว
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับผลกระทบจากการเมืองพอสมควร รวมทั้งรับผลชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปีนี้จะมีการบริหารจัดการที่ดีมากขึ้นซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในการตอบคำถาม โดยจะเพิ่มจำนวนคนอีก 100-200 คน ซึ่งขณะนี้มีพนักงานอยู่ 1,500 คน อีกทั้งได้ขยายฐานลูกค้าเพิ่มจากปัจจุบันมีลูกค้าหลักทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ไปยังกลุ่มของโรงพยาบาล ธุรกิจต่างประเทศ ธุรกิจสายการบิน อาทิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) และ สายการบินไทยแอร์เอเชีย รวมถึงลูกค้ากลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟูด ธนาคาร ประกันภัย ไอที และอสังหาริมทรัพย์
ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายสายงานไปยังต่างประเทศหรือในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยมองประเทศลาวเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทฯมองเห็นโอกาสในการเข้าไปซึ่งยังไม่มีคู่แข่งมากนัก อย่างไรก็ตามกำลังดูว่าจะเข้าไปตั้งศูนย์ Call canter ที่ในลาวเลยหรือจะนำคนในประเทศลาวเข้ามาทำงานในประเทศไทยดี คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถสรุปได้
นางสุภาวดี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าจะก้าวเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจ Outsourced Call Center ได้ภายในปี 58 หรือมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นต้นไปได้ เนื่องด้วยบริษัทฯมีแผนขยายสายงานไปในต่างประเทศ จึงมองเห็นโอกาสการเติบโต โดยปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 20-30% จึงมีแนวโน้มของธุรกิจดังกล่าวน่าจะเติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง โดยภาครัฐและภาคเอกชนมีความต้องการที่จะมีคอลเซนเตอร์เพื่อตอบคำถามลูกค้าโดยไม่ต้องลงทุนเองมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯมองว่าลูกค้าเป้าหมายใน 1-2 ปีข้างหน้า จะเป็นกลุ่มลูกค้าปัจจุบันที่มี Call Center ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ที่มองหาการบริหารจัดการดังกล่าวเพื่อลดต้นทุน ซึ่งทางบริษัทฯสามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้
"เป้าหมายการก้าวสู่ AEC เราให้ความสำคัญมากในเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาท้องถิ่นและภาษาอังกฤษ เราจึงมีการพัฒนาให้มี Call Center ที่สื่อสารภาษาเดียวกับลูกค้าได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจมากขึ้น"นางสุภาวดี กล่าว