หุ้น HEMRAJ อยู่ที่ 3.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท(+3.82%)มูลค่าซื้อขาย 103.01 ล้านบาท
หุ้น WHA อยู่ที่ 33 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท(+2.33%)มูลค่าซื้อขาย 43.03 ล้านบาท
หุ้น TICON อยู่ที่ 17.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท(+1.15%)มูลค่าซื้อขาย 38.89 ล้านบาท
หุ้น STEC อยู่ที่ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท(+0.58%)มูลค่าซื้อขาย 28.40 ล้านบาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ" 3 หลักทรัพย์ที่เป็นผู้เล่นรายสำคัญในหมวดนิคมอุตสาหกรรม คือ AMATA (ราคาพื้นฐาน 16.00 บาท) HEMRAJ (ราคาพื้นฐาน 3.80 บาท) และ ROJNA (ราคาพื้นฐาน 8.20 บาท) คลังสินค้าให้เช่าแนะนำ ซื้อ คือ WHA (ราคาพื้นฐาน 40.25 บาท) โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าที่ได้ประโยชน์คือ TICON (not rated) ส่วนผู้รับเหมาก่อสร้าง แนะนำ"ซื้อ" STEC (ราคาพื้นฐาน 21.20 บาท) และถือ CK (ราคาพื้นฐาน 18.80 บาท)
เนื่องจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไฟเขียวตั้งบอร์ด บีโอไอ พร้อมเปิดทางเป็นแนวทางแต่งตั้งคณะกรรมการในหน่วยงานรัฐ ส่งผลพิจารณาอนุมัติโครงการที่ค้างกว่า 6 แสนล้านได้ ด้าน 10 ค่ายรถยนต์ยื่นขอ"อีโคคาร์ เฟส 2"มูลค่าลงทุนกว่า 1.3 แสนล้านบาท ขณะยอดขอบีโอไอใน 2 เดือนแรก ร่วง 46% เงินลงทุนลดลง 58%, ครม.เผยกกต.ไฟเขียว รฟม.กู้เงิน 1.7 หมื่นล้านบาท จ่ายค่างวดงานสร้างรถไฟฟ้า 3 ราย "สีม่วง-น้ำเงิน-เขียว"
ฝ่ายวิจัยได้มองเป็นบวกกับหลักทรัพย์ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เมื่อมีความคลี่คลายในเรื่องโครงการขอส่งเสริมจากบีโอไอที่ค้างไว้ และโครงการเหล่านี้เริ่มดำเนินการก็มีความต้องการซื้อพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อก่อสร้างโรงงาน หรือเช่าโรงงานและคลังสินค้า หากในช่วงแรกยังไม่พร้อมซื้อที่ดินใหม่ ส่วนยอดขอบีโอไอใหม่ที่ซบเซาลงมาก คาดว่าเมื่อมีบอร์ดใหม่ และการปิดแยกสำคัญในเขตกรุงเทพฯได้ยกเลิกในเดือน มี.ค.56 จะทำให้ตัวเลขนี้กระเตื้องขึ้นได้
อีกทั้งหากการเมิองไทยจบลงได้ภายใน 1H57 ก็จะทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ฟื้นตัวขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อไป ด้านการที่ รฟม.สามารถกู้เงินมาจ่ายค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ ก็จะส่งผลดีต่อผู้รับเหมาที่รับงานได้แก่ STEC และ CK ในเรื่องการได้รับชำระเงินค่าก่อสร้าง