กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นให้เก็งกำไรในกรอบ 1,300-1,350 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนระยะยาวให้ทยอยเข้าสะสมที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยให้มีสัดส่วนการลงทุนในทองคำ 10-20% ของพอร์ตทั้งหมด
ปัจจัยที่ต้องจับตาคือตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นจะทำให้ดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่า และส่งผลกระทบต่อราคาทองคำปรับตัวลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวการที่เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น จะส่งผลกระทบทางอ้อมให้กับราคาทองคำ เนื่องด้วยอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นทำให้ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
พร้อมกันนี้ มองว่าเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์ที่จะถึงนี้จะไม่เหมือนกับช่วงสงกรานต์ปีก่อนๆ แน่นอนว่าที่ราคาทองปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเนื่องจากปัญหาสถานการณ์ในประเทศรัสเซียและยูเครน ได้มีการรับข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงปัจจัย QE ของสหรัฐฯด้วย ด้านกองทุนขนาดใหญ่ SPDR เชื่อว่าจะไม่มีการขายทองจนหลุด 800 ตัน ซึ่งในประมาณการดังกล่าวถือว่าเป็นปริมาณที่ต่ำ คงจะไม่มีการขายเพิ่มเติมอีก
ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายทองในประเทศมากนัก ซึ่งยอดขายที่หายไปจะมาจากนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไร แต่นักลงทุนในระยะยาวยังมีเข้ามาต่อเนื่อง จะเห็นได้จากตลาดทองในต่างจังหวัดที่มีการซื้อทองเก็บทั้งทองรูปพรรณและทองคำแท่ง ซึ่งมองว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่ดีอยู่ โดยในช่วงไตรมาสแรกการซื้อขายทองในต่างจังหวัดเติบโตกว่า 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน