"ตอนนี้รายย่อยทุกคน Happy แล้วล่ะ ผมไม่คิดและไม่หวังว่าจะมีใครมาวีโต้ผมในวันประชุมผู้ถือหุ้นในวันศุกร์นี้ เพราะผมทำประโยชน์ให้แล้ว แล้วมาบอกไม่เอา ผมไม่อยากคิดว่ามีคนวีโต้ผมแล้วไม่ผ่าน มันจะกลับไปอีกเท่าไร ผมไม่ทราบไม่สามารถจะคาดเดาได้...สมมติว่ามติในวันศุกร์นี้ผ่านแล้วผมก็จะดำเนินการต่อไป ส่วนในอนาคตถ้าจะต้องมีการเพิ่มทุนอีกก็แน่นอนมันต้องมี RO ผมบอกเลยว่าถ้าจะมีอะไรผมต้องดูแลรายย่อย เพียงแต่ครั้งนี้อุตสาหกรรมเหล็กมันทำยาก ถ้ามันไม่มีฐานทุนที่หนักพอ"
อนึ่ง MAX จะออกออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 23,142,857,144 หุ้น คิดเป็นการเพิ่มทุน 12.6 เท่าของทุนชำระเดิม เพื่อเสนอขายให้แก่ PP 3 ราย ราคาหุ้นละ 0.05 บาท และเพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ MAX-W1 ที่จะจัดสรรให้ PP ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เตือนผู้ถือหุ้นทุกคนให้เข้าร่วมประชุมเพื่อลงมติครั้งสำคัญ
นายชำนิ ชี้แจงที่มาของแผนเพิ่มทุนเสนอขาย PP ว่า เราจะไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยผิดหวัง แต่สถานการณ์ของธุรกิจเหล็กเมื่อเป็นแค่บริษัทขนาดเล็กก็ทำได้แค่การซื้อมาขายไป จึงมองโอกาสการพัฒนาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือการเป็นเจ้าของโรงงานเหล็ก ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินเข้ามาเสริมฐานทุนค่อนข้างมากทั้งเพื่อซื้อกิจการและใช้เป็นทุนหมุนเวียน โดยช่วงที่ผ่านก็ได้มีการเจรจาซื้อกิจการโรงเหล็กไว้บ้างแล้วแต่ยังไม่คืบหน้า ขณะที่ผู้ถือหุ้นเดิมหลายรายไม่พร้อมจะใส่เงินลงทุนเพิ่ม
"ผมก็นั่งคิดกับพรรคพวกในที่ประชุมว่าถ้าเราเป็นเจ้าของโรงงานเหล็กเอง อย่างน้อยก็ต้องมีมาร์จิน 5-7% ถ้าเราจะซื้อโรงเหล็กสักหนึ่งโรง และผมไม่ได้ซื้อจากคนกันเองน่ะ ผมติดต่อมานานแล้วกับธนาคารใหญ่ Top 3 ของธนาคารในไทยก็แล้วกัน คือเขาไปยึดกับลูกหนี้มา เพราะซื้อจากแบงก์มันปลอดภัย เพราะราคาไหนราคานั้น ก็ต้องคิดว่าจะซื้อโรงเหล็กอะไร"
นายชำนิ กล่าวเสริมว่า เบื้องต้นมีเป้าหมายจะซื้อกิจการโรงเหล็ก 1 แห่ง ซึ่งมีการเจรจามานานแล้ว แต่คงต้องตัดสินใจซื้อกิจการในราคาที่เหมาะสม ไม่สูงเกินไป และมีความคุ้มค่าเพียงพอที่จะสร้างผลกำไรให้กับบริษัท
"ซื้อโรงเหล็กจะต้องซื้อเป็น ของราคาแค่ 1,200 ล้าน จะมาขายผม 1,400 ล้าน ผมก็ไม่เอา 1 โรงน่ะ อีกโรงหนึ่งคุยกับผม 800 ล้าน ราคาจริง ๆ ผมไปดูมาแล้วเต็มที่ก็ 600 ล้าน ผมจะโง่ซื้ออีก 200 ล้านหรือ ...ผมไม่สนใจหรอกว่าแบงก์จะไปหักหนี้เขามา แล้วมีมูลค่าเกินกว่านี้เยอะ ผมไปเกี่ยวอะไร ผมเป็นคนซื้อผมก็ต้องคิดว่าเท่าไรผมถึงจะคุ้ม ผมไม่ได้ต้องการซื้อของถูก แต่ผมต้องการซื้อของที่ reasonable"นายชำนิ กล่าว
"ตอนนี้ก็ตั้งการใช้เงินไว้ก่อน 1,000 ล้านบาทแล้วค่อยไปดูว่าในผู้ถือหุ้นเดิมตามไหม ถ้าผมจะเพิ่มทุนทุกคนส่ายหน้า เวลานั้นหุ้นราคา 15 ตังค์ของถูกเต็มตลาดฯ พรรคพวกผมบอกว่าอย่างนี้ครับนิมนต์ก่อนละน่ะ เพราะมันไม่ไหวน่ะ ดังนั้นผมก็ไปหาคนข้างนอก ไม่ได้คิดถึงรายย่อยน่ะ"
"คิดดูว่าหุ้น MAX มีทั้งหมด 1,800 กว่าล้านหุ้น ผมถือหุ้นแค่ร้อยเดียวที่เหลือเป็นพรรคพวก แต่พรรคพวกไม่เอา มีแค่ 1-2 คนที่จะเอา แต่ 4-5 คนส่ายหน้า ผมโทรศัพท์ไปตามกว่าจะเจอ เขาหลบ ๆ ผมอยู่ พอถึงเวลาเขาบอกเหนื่อย ผมเลยคิดว่า ของผม กับคนที่จะเอา บวกกับรายย่อย รวมกันแล้วได้เงินไม่ถึง 100 ล้านเลย แล้วจะไประดมทุนทำไมถ้าออก RO"นายชำนิ กล่าว
นายชำนิ เชื่อว่า ขณะนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยทุกคนคงพอใจ จึงไม่คิดและไม่หวังว่าจะมีใครคัดค้านแผนเพิ่มทุนในวันประชุมผู้ถือหุ้น 11 เม.ย.นี้ เพราะได้ทำประโยชน์ให้แล้ว ซึ่งหากมติผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมก็จะดำเนินการต่อไป ส่วนในอนาคตหากจะต้องมีการเพิ่มทุนอีกก็คงต้องพิจารณารูปแบบการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม(RO)เพียงแต่ขณะนี้ต้องการฐานทุนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก คาดว่าจะได้ข้อสรุปการซื้อกิจการโรงเหล็กไม่เกิน 3-4 เดือนหลังจากการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ
"การเพิ่มทุนตามนี้ก็จะได้เงินประมาณ 900 ล้านบาท ถ้าซื้อโรงเล็กได้จบที่ 600-700 ล้านก็จ่ายเขาไป ที่เหลือก็ไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 300 ล้านบาท และกู้แบงก์เป็น working Cap สัก 300 ล้านบาท นี่คือหลักการทำโรงเหล็ก ถ้าโรงใหญ่ผมก็ต้องกู้แบงก์เพิ่ม นี่เป็นหลักการทั่วไป ถ้าจบกับแบงก์ที่ 1,000 ล้านบาท ผมอาจจะจ่ายเขาครึ่งหนึ่ง 500 ล้านบาท หรือ 700 ล้านบาทแล้วกู้เขา 300 ล้านบาท ที่เหลือก็เป็น working Cap
...ในใจผมอยากได้โรงใหญ่ แต่ไม่อยากทำอะไรเกินตัว เพราะฉะนั้นถ้าจะจบที่โรงเล็กก็สวยสุด สมมติจบที่ 700 ล้านบาท ผมจะจ่าย 500 ล้านบาท แบงก์ก็ happy แล้วก็กู้ 200 ล้านบาท ดังนั้นจะมี working Cap. จะมี 400 ล้านบาท"นายชำนิ กล่าว
สำหรับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาซื้อหุ้น PP คือ นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ 12,000,000,000 หุ้น นายอนุกูล บุญทิพย์4,000,000,000 หุ้น และนายสุทธิพจน์ อริยสุทธิ 2,000,000,000 หุ้น นายชำนิ กล่าวว่า ถือเป็นภาพที่ดีที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบริษัท และผู้ถือหุ้นใหม่ก็พร้อมหากจะต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
นอกจากนั้นผู้ถือหุ้นแต่ละรายก็ยังจะเข้ามาเสริมในด้านธุรกิจให้กับบริษัท อย่างกรณีของนายขจรศิษฐ์คงจะเข้ามาเสริมในด้านการตลาด เพราะเป็นเจ้าของบริษัทด้านก่อสร้างที่มีการใช้เหล็กค่อนข้างมาก และเคยเป็นอดีตผู้บริหารของบริษัท ฤทธา ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี ด้านนายอนุกูลมีบริษัทที่ปรึกษามีอิทธิพลในการดึงให้ลูกค้ามาซื้อเหล็กเราได้ ส่วนนายสุทธิพจน์เป็นนักลงทุน
"(ราคาขาย)กว่ามันจะเป็น 5 ตังค์ มันเริ่มมาตั้งแต่ 2.7 สตางค์ อัพขึ้นมาได้ 5 ตังค์ วันนี้ราคาตลาดกลายเป็น 40-50 ตังค์ แสดงว่าผู้ถือหุ้นรายย่อย happy แต่คนซื้อ 5 ตังค์ เมื่อเขาเข้ามาราคามันต้องไดลูด มันต้องมีการปรับกันอีก แต่ตอนนี้ที่แน่ ๆ ราคาตลาดมันรับรู้แล้วว่า 50 ตังค์ รับรู้ด้วยว่า potential ที่จะเขามาทำอะไรให้กับ MAX ...ซึ่งผมก็จะพูดอย่างนี้ในวันประชุมผู้ถือหุ้น"นายชำนิ กล่าว
นายชำนิ กล่าวว่า ขณะนี้ถือหุ้น MAX ราว 100 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.45% ซึ่งหลังการเพิ่มทุนเสนอขายหุ้นให้ PP ก็สัดส่วนหุ้นก็คงลดลงเหลือเท่ากับ 0.5% แต่ก็ยังยืนยันว่าจะคงถือหุ้นไว้ตามเดิม ไม่มีแผนจะขายหุ้นในมือออกไป นอกจากนั้นคงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร แต่ในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการทำ backdoor listing โดยคาดว่าจะมีการหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ภายหลังการเพิ่มทุน
"ผมบอกกับทางผู้ถือหุ้นกับตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า ผมจะไม่ผูกมัดกับการทำธุรกิจเหล็ก ผมจะทำทุกอย่างที่ทำให้บริษัทดีขึ้น จะทำอะไรก็ได้โรงไฟฟ้าก็ได้ ถ่านหินก็ได้ พร็อพเพอร์ตี้ก็ได้ อะไรก็ได้ จะไม่ผูกมัด... เวลานักลงทุนถามผม ผมตอบและตอบตรง ๆ ผมบอกผมเป็นคนฟื้นฟูและไม่ฟื้นฝอย"นายชำนิ กล่าว