เนื่องจากในปีนี้ ปตท.เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่ปีก่อนรับผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุงโรงผลิตโพลิเอทีลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE) ของบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของ PTTGC รวมทั้งอุบัติเหตุฟ้าผ่าโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 ของปตท.ทำให้ PTTGC ต้องลดกำลังการผลิตของโรงงานปิโตรเคมี โดยปตท.ได้ปรับปรุงเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงแยกก๊าซฯแล้วคาดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก รวมทั้งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ปีนี้บริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว
“ปีนี้พยายามทำกำไรให้ได้ 1 แสนล้านบาท และมั่นใจว่า EBITDA โตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% กำไรมาจากตัวปตท. มีสัดส่วน 30% ที่เหลือมาจากบริษัทลูก...กำไรลดลงนักลงทุนก็ complain บอร์ดก็ดูแลให้ผลประกอบการดีขึ้น ยอมรับว่าผลประกอบกับขึ้นกับเศรฐกิจโลก ปัญหาการเมือง และผลจากราคาในตลาดโลก" ประธานกรรมการ PTT กล่าว
นายปานปรีย์ กล่าวถึงผลกระทบทางการเมืองว่า เป็นผลกระทบระยะสั้น และเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติการลงทุนโครงการต่างๆก็จะเกิดขึ้น ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่าการเข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการมาจากการเมืองนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า แม้ว่าตนเองเคยเป็นนักการเมือง แต่ก็มีหลายสถานะที่เคยเป็นทั้งนักธุรกิจ อาจารย์ แต่การเข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการ ปตท. ตนไม่ได้รับการสั่งการหรือถูกแทรกแซงแต่อย่างใด และปตท. ก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องมีการดำเนินงานอย่างโปร่งใส