"ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 5 เดือน ได้ส่งผลอย่างเด่นชัดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวเพิ่มขึ้น ฐานะด้านการเงินของภาคธุรกิจโดยรวมเปราะบางขึ้น โดยเฉพาะ “ภาคการผลิต-ค้าปลีก-ค้าส่ง" และจะส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 57 แต่อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าความพร้อมและการปรับแผนของภาคธุรกิจไทยจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 57 พร้อมกับมุมมองทางด้านการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น"นายสุรสีห์ กล่าว
สำหรับกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่โรลโอเวอร์มาจากการขายกองทุนก่อนหน้านี้ เป็นกองทุน Specific fund โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงินและ/หรือ เงินฝากของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เงินฝากธนาคารต่างประเทศสกุลเงิน USD, CNY, HKD, EUR, JPY กับธนาคาร BOC (Macau), Standard Chartered Bank (Hong Kong), ธนาคาร CIMB Niaga (Indonesia) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, ตั๋วแลกเงิน บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง(BBB+), บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+), ตั๋วแลกเงิน บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (BBB+), บมจ.อีซี่บาย (BBB+), บจ.บีเอสแอล ลีสซิ่ง(BBB) หรือตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป, ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น