"ในไตรมาสที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัวเพราะสถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ทั้งการบริโภคและการลงทุนชะลอตัว ภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2557 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ดังนั้นปีนี้จึงนับว่าเป็นปีที่มีความท้าทายมากสำหรับทุกธุรกิจ แต่เราเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไม่แย่ถึงขั้นกลายเป็นวิกฤติ แต่มองว่าเป็นการชะลอเพื่อรอความชัดเจนทางการเมือง เพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่"
ด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจการเงินมากว่า 45 ปีของกลุ่มทิสโก้ ผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ทิสโก้สามารถสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืนทุกครั้ง ด้วยความโดดเด่นของทิสโก้ที่มีความคล่องตัวสูง สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้เข้ากับภาวะปัจจุบัน และพร้อมรุกอยู่เสมอ ซึ่งปีนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทิสโก้ก็จะยังมุ่งสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว ด้วยการขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง การสร้างแบรนด์ภายใต้วิสัยทัศน์ “โอกาส สร้างได้" ตลอดจนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางการเงินให้แก่ลูกค้า และการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เราจึงมั่นใจว่าจะรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ ณ สิ้นไตรมาส 1/57 มีกำไรสุทธิ 935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 6.9% และการตั้งสำรองหนี้สูญในอัตราที่ลดลง เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เริ่มทรงตัวและสามารถบริหารจัดการได้ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิปรับลดลง 19.0% จากการลดลงของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เนื่องจากมีการบันทึกรายได้พิเศษจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยในไตรมาส 1/56 ประกอบกับการอ่อนตัวลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดทุนที่อ่อนตัวลง
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 57 มีจำนวน 284,655 ล้านบาท ลดลง 2.6% จากสิ้นปี 56 ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว สินเชื่อเช่าซื้อปรับลดลงตามยอดขายรถยนต์ที่ปรับลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ในขณะที่สินเชื่ออเนกประสงค์ชะลอตัวจากการปรับนโยบายการให้สินเชื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้น กลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลงในส่วนของสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Car Inventory Financing) ตามความต้องการสต๊อกสินค้าของผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ที่ลดลง เนื่องจากตลาดปรับเข้าสู่ภาวะที่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อย ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยฟื้นตัวขึ้นในส่วนของค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในเรื่องความเพียงพอของเงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารทิสโก้ ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารได้ดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามวิธี IRB โดยประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 14.25% โดยยังคงสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะที่เงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ที่ 9.38% และ 4.87% ตามลำดับ โดยอัตราส่วนการดำรงเงินกองทุนชั้นที่ 1 ดังกล่าวยังคงสูงกว่าอัตราขั้นต่ำ 6%