ICHI พร้อมซื้อขายวันแรก 21 เม.ย.หลังระดมทุน 3,900 ลบ.ขยายโรงงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 18, 2014 13:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2557

สำหรับ ICHI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มอิชิตัน กรีนที เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล อิชิตัน ดับเบิ้ลดริ๊งค์ เครื่องดื่มชาดำพร้อมดื่ม อิชิตัน ดราก้อนแบล็คที เครื่องดื่มชาเขียวผสมสมุนไพรสูตรจับเลี้ยง เย็น เย็น โดยอิชิตัน และเครื่องดื่มชาสูตรหวานน้อย อิชิตัน ซีเล็คเต็ด โดยในปี 2556 ICHI เป็นผู้นำครองส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชาเขียวสูงสุดที่ 42% และมีกำลังการผลิต 600 ล้านขวดและ 200 ล้านกล่องต่อปี

ICHI มีทุนชำระแล้ว 1,300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,000 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 300 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 8-11 เมษายน 2557 ในราคาหุ้นละ 13 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,900 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO รวม 16,900 ล้านบาท มีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ ICHI เปิดเผยว่า การระดมทุนของบริษัทครั้งนี้จะนำไป ขยายกำลังการผลิตโรงงานผลิตสินค้าเฟส 2 ซึ่งบริษัทเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2556 โดยคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในปี 2557 ส่งผลให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 600 ล้านขวดต่อปี เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศและเตรียมตัวสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศหลังเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ จะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงิน คืนเงินกู้ยืมกรรมการและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ICHI มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายตันและนางอิง ภาสกรนที ถือหุ้น 40.05% กลุ่มผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นแทนนายตัน ภาสกรนที 20.97 % และนายโช เอวี่ย จิ้น ถือหุ้น 4.99 %

ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio ) 19.2 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในปี 2556 ที่ 881.70 ล้านบาทหารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.7 บาทต่อหุ้น ขณะที่ค่า P/E Ratio เฉลี่ยของผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2556 จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2557 ที่ 30 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40 % ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ