สำหรับรายได้ในปีนี้จะมาจากงานในมือ(Backlog)ที่มีกำหนดรับรู้ฯ ในปีนี้ 2.2 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 56 ที่มี Backlog จำนวน 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงานภาครัฐ 60% และงานเอกชน 40% สาเหตุสำคัญมาจากปีนี้ไม่มีโครงการภาครัฐเข้ามาหลังจากที่ไม่มีรัฐบาลใหม่ ล่าสุดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ได้เลื่อนออกไปจากเดิมกำหนดยื่นซองประมูลวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา และถ้าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ก็ยังไม่ได้กำหนดใหม่
อย่างไรก็ดี งานภาครัฐที่น่าจะประมูลในปีนี้ก็ยังมีโครงการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่าโครงการกว่า 7 หมื่นล้านบาท และโครงการรถไฟรางคู่ 5 เส้นทางที่คาดจะเปิดประมูล มิ.ย.นี้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าหากได้ผู้ชนะการประมูลจะได้เซ็นสัญญาในปีนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เมื่อไร
นายภาคภูมิ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกบริษัทมีงานใหม่เข้ามาเพียง 3.6 พันล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในไตรมาส 2/57 โดยมาจกงานก่อสร้างห้างสรรพสินค้า Blue Port ที่หัวหินของกลุ่มเดอะมอลล์ มูลค่า 1.5 พันล้านบาท งานสร้างถนนในลาวแถบไซยะบุรี มูลค่า 690 ล้านบาทซึ่งสำนักงานความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(NEDA)เป็นผู้ให้เงินกู้ โครงการสร้างถนนบายพาสของกรมโยธาธิการ มูลค่า 444 ล้านบาท ซึ่งต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
นายภาคภูมิ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะมีงานใหม่เข้ามามาก โดยปีนี้บริษัทเน้นงานเอกชน งานโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้และคาดจะได้งานนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่ให้มาร์จิ้นสูง นอกจากนี้บริษัทเริ่มหันมารับงานในประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียน ได้แก่ ลาว พม่า กัมพูชา ที่ยังต้องสร้างสาธารณูปโภคอีกมาก โดยจะรับงานที่ NEDA ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวมทั้งมองว่าจะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทมีที่ดินหลายแปลง
"โครงการ 2 ล้านล้านไม่มีไม่กระทบบริษัทปีนี้เพราะมี Backlog ถึง 5.1 หมื่นล้านบาท แต่หากยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ในปีนี้ผมว่าปีหน้าเราจะแย่ ...การไปหางานในอาเซียนก็เป็นทางแก้ที่งานในประเทศมีปัญหาอึมครึม แต่เราเป็นบริษัทไม่มีหนี้ จะเลี่ยงงานที่เจ้าของโครงการที่ไม่มั่นคง"นายภาคภูมิ กล่าว