ขณะนี้โครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าตามลำดับโดยได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงในการจัดซื้อที่ดินขนาด 40 ไร่ ณ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งได้ลงนามจัดหาเครื่องจักร เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลมูลค่า รวมประมาณ 600 กว่าล้านบาท คาดว่าจะโรงไฟฟ้าจะแล้วเสร็จราวเดือน ธ.ค.58 และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)ได้ในเดือน ม.ค.59 ซึ่งจะรับรู้รายได้ทันที ได้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า 0.30 บาท/หน่วย ประเมินรายได้ประมาณ 250 ล้านบาทต่อปี และผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่กว่าร้อยละ 20 และกำไรอยู่ที่ร้อยละ 35
อย่างไรก็ตาม โครงการอยู่ระหว่างการจัดทำ ประชาคมพิจารณ์ ในเดือนเม.ย.คาดว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากชุมชน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีโรงไฟฟ้าชีวมวลหลาย แห่งที่ตั้งอยู่
“เชื่อว่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยงในเรื่องของรายได้บริษัทที่พึ่งพาเพียงธุรกิจขนส่งปิโตรเคมีที่เป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงสูง และธุรกิจโรงไฟฟ้ามีความ เสี่ยงต่ำและมี รายได้ที่แน่นอนต่อเนื่อง...ฝ่ายบริหารต้องมีการปรับกลยุทธ์ การบริหารเรามีธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านการขนส่งปิโตรเคมีแต่มีความเสี่ยงโดยรวม จากภาพรวมเศรษฐกิจ การเมือง เราจึง ต้องกระจายความเสี่ยงและศึกษาเป็นอย่างดีในธุรกิจโรงไฟฟ้าว่ามีความเสี่ยงต่ำจึงก่อตั้งบริษัทฯ ลูกเพื่อเป็นธุรกิจที่จะ สร้างรายได้ ใหม่ หากแล้วเสร็จจะ สร้างรายได้ปี ละ 250 ล้าน บาท" นายเกียรติชัย กล่าว
ทั้งนี้ KIAT ได้ จัดตั้งบริษัท ย่อย คือ บริษัท เกียรติธนากรีนเพาเวอร์ จำกัด เมื่อปลายปี 56 เพื่อประกอบธุรกิจ ผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลังงานชีวมวล ทุนจดทะเบียน เริ่มต้น 5,000,000 ล้าน บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท จำนวนหุ้น 1,000,000 หุ้น มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาทในปี 57 และ อยู่ระหว่างการศึกษานำบริษัทฯ ลูก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการระดมทุนเพื่อนำเงินมาคืนหนี้ สถาบันการเงิน จากการลงทุนโรงไฟฟ้าแห่งแรก
รวมทั้งประเมินโอกาสในการลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในช่วงที่บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า ทั้งนี้การลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงไฟฟ้าต่อเนื่องเพราะเป็นธุรกิจที่มีรายได้แน่นอน และมีการปรับเพิ่มขึ้นได้ตามค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ถือเป็นธุรกิจที่ มีโอกาสเติบโต อย่างยั่งยืนใน อนาคต
ปัจจุบันโครงสร้างการถือหุ้น บริษัท เกียรติธนากรีนเพาเวอร์ จำกัด ประกอบด้วย KIAT ถือ หุ้นร้อยละ 99.99 ที่ ผ่านมาได้รับความสนใจ จากบริษัทฯที่ทำธุรกิจพลังงานทดแทนขอร่วมเป็นพันธมิตรและร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าแห่งแรก ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลทางการเงินระหว่างกัน แต่ KIAT ยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ และเป็นผู้ บริหารโรงไฟฟ้า
“หากโรงไฟฟ้าแห่งแรกเริ่มรับรู้รายได้ช่วงปี 57 เชื่อว่าจะมีความชัดเจนในการเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเราไม่ปิดกั้นพันธมิตรที่สนใจร่วมถือหุ้นในธุรกิจ โรงไฟฟ้า เพราะแห่งแรกก็มี บริษัทฯที่ ประกอบธุรกิจ พลังงานทดแทน เข้ามาคุยแล้ว แต่เราต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เท่านั้นเพื่อ คงอำนาจการบริหารเพราะเราคงไม่หยุดแค่โรง ไฟฟ้าแห่งแรก ต้องมีแห่งที่ 2 ที่ 3 ตาม มาแน่นอน "