สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 5.2 ปี) LB176A (อายุ 3.2 ปี) และ LB236A (อายุ 9.2 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 23,304 ล้านบาท 11,934 ล้านบาท และ 9,718 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB14506A (อายุ 14 วัน) BOT161A (อายุ 1.7 ปี) และ CB14717B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 16,841 ล้านบาท 13,663 ล้านบาท และ 9,789 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI16DA (A+) มูลค่าการซื้อขาย 566 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) รุ่น HEMRAJ177A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 509 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT155A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 284 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ของตราสารหนี้อายุน้อยกว่า 3 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ประมาณ 1 Basis point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ Yield ของตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลงในช่วงประมาณ -3 ถึง -8 Basis Point ตามทิศทางของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตราสารระยะยาว หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กล่าวว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำต่อไป และยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่นอนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายๆด้าน โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน ขณะที่ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB อาจจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หากค่าเงินยูโรยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้ว ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทยที่คาดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุรุนแรงและอาจหาทางออกร่วมกันได้ในเร็วๆนี้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความเชื่อมั่นและมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างมาก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ Yield ของตราสารหนี้ปรับตัวลดลง (ราคาเพิ่มสูงขึ้น) ในทุกช่วงอายุ
นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 4,550 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 5,291 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 740 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดขายสุทธิ 171 ล้านบาท