กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่โรลโอเวอร์มาจากการขายกองทุนก่อนหน้านี้ เป็นกองทุน Specific fund โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงินและ/หรือ เงินฝากของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เงินฝากธนาคารต่างประเทศสกุลเงิน USD, CNY, HKD, EUR, JPY กับธนาคาร BOC (Macau), Standard Chartered Bank (Hong Kong), ธนาคาร CIMB Niaga (Indonesia),Akbank T.A.S. (Malta) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, ตั๋วแลกเงิน บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง(BBB+), บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+), ตั๋วแลกเงิน บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (BBB+), บมจ.อีซี่บาย (BBB+), บจ.บีเอสแอล ลีสซิ่ง(BBB) หรือตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป, ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
บลจ.ฟินันซ่า ประเมินว่า ปัญหาการเมืองเริ่มมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น โดยจะมีประชุมหารือจัดเลือกตั้งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 3 - 4 เดือนนี้ แต่อย่างไรก็ตามปัญหาข้าวไทยที่ราคาตกต่ำจนเท่าคู่แข่ง เนื่องจากรัฐเร่งระบายข้าวในสต็อก ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในตลาดต่างประเทศ รวมถึงปัญหาการจัดสรรงบของภาครัฐในการจ่ายคืนรถคันแรกไม่เพียงพอ ยอดสินเชื่อไม่ก่อเกิดรายได้ (NPL) เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าการขยายกิจการของธุรกิจใหญ่ และสภาพตลาดในต่างประเทศยังไม่ค่อยสดใส ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวเลขเศรษฐกิจในจีน การขาดดุลการค้ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของญี่ปุ่น ปัญหาค่าเงินตลาดเกิดใหม่อย่างอาร์เจนติน่าและตุรกี สรุปแล้วความผันผวนยังคงมีอยู่มาก