สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/57 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 67.65 ล้านบาท แต่ปกติแล้วไตรมาส 1 ของทุกปีรายได้จะเติบโตต่ำที่สุดตามฤดูกาล โดยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และรายได้จะเติบโตสูงสุดในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี
"รายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่างจากเดิมเป็นอย่างน้อย กำไรก็มองว่าดีกว่าปี 56 อย่างแน่นอน โดยไตรมาส 1/57 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น"นายวิจิตร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยืนยันว่าจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาทางการเมืองยังไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับบริษัทมากนัก เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหารยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ร้านอาหารและโรงแรมมีการขยายตัวไปตามต่างจังหวัดมากขึ้น และคนส่วนใหญ่ก็มีไลฟ์สไตล์การบริโภคที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาก ซึ่งยังเอื้อให้กับการขายสินค้าของบริษัท
นายวิจิตร กล่าวว่า แผนงานต่าง ๆ ของบริษัทยังเดินหน้าต่อไปตามปกติ โดยเตรียมลงทุนซื้อคลังสินค้า(Warehouse)มาเป็นสินทรัพย์ของบริษัทเอง เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเช่าคลังสินค้าอยู่ ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะใช้เงินที่ระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั้วไปครั้งแรก(IPO) ที่ยังมีเหลืออีกราว 60-70 ล้านบาท
ส่วนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศนั้น ขณะนี้ยังไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้ไม่ถึง 10% ของรายได้รวม เนื่องจากตลาดหลักยังคงเน้นการขายในประเทศไทยเป็นหลักมีสัดส่วนรายได้กว่า 90% ขณะที่บริษัทมองโอกาสภายหลังการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะขยายธุรกิจยังประเทศอื่นๆ โดยขณะนี้มีการเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับไว้แล้ว