ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 491,455 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 28, 2014 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (21 - 25 เมษายน 2557) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 491,455 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 98,291 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 41% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 68% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 335,831 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 107,797 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 8,393 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.1 ปี) LB196A (อายุ 5.1 ปี) และ LB145B (อายุ 0.04 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 26,972 ล้านบาท 24,103 ล้านบาท และ 17,789 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB14514A (อายุ 15 วัน) BOT157A (อายุ 1.2 ปี) และ CB14506A (อายุ 14 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 25,509 ล้านบาท 25,193 ล้านบาท และ 25,107 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น TOP243A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 636 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) รุ่น CPN15OA (A+) มูลค่าการซื้อขาย 401 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI185C (A+) มูลค่าการซื้อขาย 396 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ของตราสารหนี้อายุน้อยกว่า 3 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ประมาณ -2 ถึง -3 Basis point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ Yield ของตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลงในช่วงประมาณ -5 ถึง -15 Basis Point ตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาด โดยให้เหตุผลว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม กนง.จะมีการทบทวนตัวเลขประมาณการ GDP ของไทยอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า (18 มิ.ย.) เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 1/57 น่าจะหดตัวมากกว่าที่คาด ทำให้ GDP ตลอดทั้งปี 2557 อาจจะเติบโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.7% จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงเปราะบาง บวกกับปัจจัยต่างประเทศทั้งในเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีนที่ยังคงอ่อนแอและสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นตลาดพันธบัตรมากขึ้น และมีผลทำให้ Yield ของตราสารหนี้ปรับตัวลดลง (ราคาตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้น) โดยนักลงทุนยังต้องติดตามผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 – 30 เมษายนนี้ เนื่องจากจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับขนาดของมาตรการ QE ที่จะมีผลต่อการไหลเข้า-ออกของกระแสเงินทุนต่างชาติในช่วงระยะเวลาถัดไป

นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 5,350 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 163 ล้านบาท และ ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 5,513 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดขายสุทธิ 141 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ