อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบนตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต" ซึ่งมีมูลค่าถึง 16,366 ล้านบาท รวมไปถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวจากปัญหาที่ยืดเยื้อทางการเมือง
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเปิดขายโครงการและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามกำหนด ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการตามแผนงาน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า
NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ณ เดือนเมษายน 2557 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทรวมกัน 14% ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดนิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 16 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 13,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบในช่วงที่เหลือของปี 2557 จนถึงปี 2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 85% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 7% ทาวน์เฮ้าส์ 6% และที่ดินเปล่า 2%
ยอดขายของบริษัทในของปี 2556 เท่ากับ 7,101 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากยอดขายของปี 2555 ที่ 2,852 ล้านบาทเนื่องจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ โครงการโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา โครงการโนเบิล รีวอล์ฟ รัชดา 2 และโครงการโนเบิล รีโว สีลม โดยยอดขายจากโครงการใหม่นี้คิดเป็น 70% ของยอดขายทั้งปี 2556 รายได้รวมของปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 3,085 ล้านบาท จาก 2,560 ล้านบาทในปี 2555 โดยรายได้มาจากการโอนโครงการโนเบิล รีฟอร์ม และโครงการโนเบิล รีดี ประมาณ 1,700 ล้านบาท
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงโดยอยู่ที่ 38%-39% ในช่วงปี 2551 ถึงปี 2556 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทลดลงไปอยู่ที่ 18.22% ในปี 2556 จาก 20.44% ในปี 2555
ณ สิ้นปี 2556 เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,796 ล้านบาท จาก 7,806 ล้านบาทในปี 2555 โดยเงินกู้ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการโนเบิล เพลินจิต บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเท่ากับ 70% ณ สิ้นปี 2556 เพิ่มขึ้นจาก 66% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม บริษัทถือเงินสดอยู่ในมือจำนวนมากที่ 3,443 ล้านบาท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเล็กน้อยเป็น 4% ณ สิ้นปี 2556 จาก 5%
ณ สิ้นปี 2555 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 2-3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่บริษัทถือเงินสดจำนวนมากจึงทำให้ไม่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน