นายรุ่งโรจน์ แสงศาสตรา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร DCC เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 7% จากปี 56 อยู่ที่ 7,564.38 ล้านบาท และกำไรจะเติบโตตามยอดขาย จากปี 56 มีกำไรอยู่ที่ 1,298.13 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทผลิตกระเบื้องในระดับบนขนาด 60x60 ซึ่งคาดว่าจะชิงส่วนแบ่งตลาด(มาร์เกตแชร์)ได้ดี จากเดิมที่บริษัทยังไม่มีส่วนแบ่งจากตลาดกระเบื้องระดับบน ขณะที่มองว่าตลาดระดับบนมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากระเบื้องระดับล่าง โดยคาดว่าจะมีมาร์จิ้นมากกว่า 50% ขณะที่กระเบื้องระดับล่างมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายกระเบื้องระดับบนไว้ 15% ของยอดขายรวม
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1/57 บริษัทได้รับผลกระทบจากการเมืองต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 56 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายติดลบอยู่ที่ 15% และเริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยในเดือน ก.พ. ติดลบลดลงอยู่ที่ 8% และเดือน มี.ค. ติดลบต่ำกว่า 1% แต่บริษัทมองว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นได้ในไตรมาส 2/57 และในไตรมาส 3/57 สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายและกำไรจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 56 เนื่องจากปลายปีก่อนก็ได้รับผลกระทบจากการเมือง ทำให้ยอดขายอยู่ในระดับที่ต่ำ
ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5% และมีแผนขยายสาขาเพิ่ม 5 สาขา โดยเน้นตามจังหวัดแถบชายแดนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดค่าขนส่งที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งบริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้จำนวน 200 ล้านบาทในการขยายสาขา ซื้อเครื่องจักร และซื้อที่ดิน
"เรามีการพัฒนาสินค้าทุกอย่างไว้แล้ว รอการเมืองนิ่ง หากนิ่งเมื่อไหร่คาดว่าปริมาณการใช้น่าจะกลับมา และเรามีการควบคุมต้นทุนการผลิต ซึ่งมีการใช้เชื้อเพลิงน้อยลง เราเชื่อมั่นว่าเรายังเป็นผู้นำด้านราคาอยู่"นายรุ่งโรจน์ กล่าว
สำหรับที่ประชุมผู้ถือหุ้น DCC วันนี้มีมติอนุมัติการควบรวมกิจการบริษัทย่อยทั้ง 3 บริษัท คือ บริษัท พิค แอนด์ เปย์ จำกัด, บริษัท เมืองทองเซรามิค จำกัด และบริษัท เวิลด์ไวด์เซรามิค จำกัด เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไรให้กับบริษัท โดยจะมีการดำเนินการในวันที่ 1 มิ.ย.57 นี้