ทั้งนี้ เอสซีจีมีสินทรัพย์รวม ณ 31 มี.ค.57 จานวน 459,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 56 เท่ากับ 18,542 ล้านบาท
ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/57 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 8,381 ล้านบาท ลดลง 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ เนื่องจากมีปริมาณการขายลดลง จากการเริ่มผลิตของโรงงาน MOC (Cracker แห่งที่ 2) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.56 ภายหลังจากการหยุดซ่อมบำรุง และมีการปันกำไรในบริษัทย่อยไปให้ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยมากขึ้น
ประกอบกับในไตรมาส 1/56 ธุรกิจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่ EBITDA เท่ากับ 15,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจาก Margin ของธุรกิจเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และจากการรวมผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 56 เอสซีจีมีรายได้จากการขายเท่ากับ 121,765 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของทุกธุรกิจในเอสซีจี
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 5% เป็นผลมาจากปัจจัยตามฤดูกาลของธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและการฟื้นตัวของธุรกิจกระดาษ เอสซีจีมี EBITDA ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากในไตรมาส 4/56 เป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากเอสซีจี การลงทุนในส่วนงานอื่น ในขณะที่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจในเอสซีจี
ในไตรมาส 1/57 เอสซีจีมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 1,725 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนมาจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ 678 ล้านบาท และจากธุรกิจอื่น 1,047 ล้านบาท ลดลง 74 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 184 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในธุรกิจอื่น
เอสซีจีมีเงินปันผลรับในไตรมาส 1/57 เท่ากับ 579 ล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเอสซีจีมีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม (เอสซีจีถือหุ้น 20 - 50%) เท่ากับ 393 ล้านบาท และจากบริษัทอื่น (เอสซีจีถือหุ้นต่ำกว่า 20%) เท่ากับ 186 ล้านบาท
เอสซีจียังคงมีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงโดยมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาส 1/57 เท่ากับ 32,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,966 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาสก่อน แม้ว่าในไตรมาสนี้จะมีรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนถึง 10,890 ล้านบาท และเอสซีจีมีเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ 65,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อนส่วนใหญ่จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ในขณะที่มีอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือต่อยอดขายเท่ากับ 43 วัน ลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 48 วัน