นอกจากนี้บริษัทได้ปรับเพิ่มงบลงทุนเป็น 280 ล้านบาทในปีนี้จากเดิม 220 ล้านบาท เพื่อใช้ในโรงงานที่ระยอง และศึกษาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เวียดนามและอินเดีย คาดได้ข้อสรุปภายใน 1-2 ปีนี้
นายสมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานกรรมการบริหาร SNC เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 423.21 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น แม้ว่าไตรมาส 1/57 ผลประกอบการยังไม่ค่อยดีนัก และมองว่าไตรมาส 2/57 ก็ยังคงทรงตัว แต่คาดว่าครึ่งปีหลังของปีนี้แนวโน้มผลประกอบการน่าจะเติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะจากการที่ผู้ประกอบการรถยนต์จะต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาในตลาด ซึ่งคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้น่าจะมากกว่า 2 ล้านคัน รวมถึงเชื่อว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ และจะทำให้เกิดการลงทุนขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีการปรับเพิ่มเป้ารายได้จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ 10% มาเป็น 15% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดในประเทศไทยขณะนี้ ส่งผลให้ความต้องการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับ หลังจากที่บริษัทได้เข้าไปร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัทต่างๆ จะสามารถทำรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามบริษัทก็ยังมองหาพันธมิตรร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่บริษัทที่มีธุรกิจคล้ายกับ SNC
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประเทศเวียดนามและอินเดียภายใน 1-2 ปีนี้ เนื่องจากมองว่าสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมี Supply Chain ลดลง โดยลูกค้าอาจมีการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุน ซึ่งบริษัทก็ต้องมีการโยกย้ายฐานการผลิตชิ้นส่วนเข้าไปรองรับลูกค้า รวมถึงนโยบายภาครัฐที่จะสนับสนุนด้านภาษีให้กับผู้ประกอบการรายเล็กหรือ SME ยังไม่ชัดเจน
"เรามองว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีความเป็นกังวลมากที่สุดจากอัตราเงินเฟ้อสูงและกำลังซื้อลดลง ซึ่งมันจะกลายเป็นสินค้าที่ไม่มี knowhow จาก Supply Chain มันสั้น ซึ่งลูกค้าจะมีการย้ายฐานไปเวียนนามมากขึ้น นอกจากบีโอไอจะมีนโยบายทางด้านภาษีให้กับ SME ออกมาช่วยสนับสนุน และเมื่อลูกค้าย้ายฐาน เราก็จะเข้าไปสร้างฐานที่ประเทศเวียดนาม อินเดีย ซึ่งเราก็จะเข้าไปแข่งขันกับผู้ผลิตท้องถิ่นอีกที คาดว่า 1-2 ปี น่าจะได้เห็น"นายสมชัย กล่าว
ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์นั้น บริษัทได้ปรับเพิ่มสัดส่วนรายได้ในปีนี้เป็น 20% จากเดิมอยู่ที่ 8-12% โดยมองว่าในประเทศยังมี Supply Chain ค่อนข้างสูงและมีผู้แข่งขันอยู่ในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัทฯยังได้รับประโยชน์ ขณะเดียวกันธุรกิจชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีผู้แข่งขันค่อนข้างน้อยทำให้มีการผูกขาดตลาด
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้มีการเพิ่มเงินลงทุนในปีนี้เป็น 280 ล้านบาท จากเดิม 220 ล้านบาท โดยใช้สร้างโรงงานสำหรับผลิตและประกอบโครงสร้างรถยนต์ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าจีน โดยโรงงานดังกล่าวจะเป็นลักษณะนำชิ้นส่วนที่บริษัทฯผลิตมาประกอบให้กับลูกค้า จากเดิมมีการซื้อชิ้นส่วนมาประกอบ ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนงานรับจ้างประกอบ (OEM) อยู่ที่ 30% และเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า 70%