ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงิน 1,500 ลบ.ของ LH ที่ “A/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 7, 2014 16:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และเป็นเงินทุนในการขยายกิจการ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนผลการดำเนินงานที่ผ่านการพิสูจน์ในช่วงที่ผ่านมา การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและหลักทรัพย์สภาพคล่องสูง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนความกังวลในสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงและความต้องการในที่อยู่อาศัยซบเซา รวมทั้งภาระหนี้ในระดับปานกลางของบริษัท

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 50% หรืออัตราส่วนภาระหนี้ต่อทุนเกินกว่า 1 เท่าเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน

LH เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทย บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ เดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ 7.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีรายได้ในปี 2556 เป็นอันดับที่ 3 อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท บริษัทก่อตั้งในปี 2526 โดยตระกูลอัศวโภคิน ณ เดือนมีนาคม 2557 ตระกูลอัศวโภคินมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 25% รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16%

สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 75%-80% ของยอดขายรวมในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งมากซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขาย บริษัทประสบความสำเร็จในการขายบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์และราคาที่หลากหลาย และเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับกำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละทำเล ความแข็งแกร่งทางการตลาดของบริษัทสะท้อนจากยอดขายที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยในปี 2556 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 17% จากปี 2555 ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 ลดลง 12% เป็น 6,532 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ณ เดือนมีนาคม 2557 บริษัทมียอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) มูลค่า 13.3 พันล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้ยอดขายดังกล่าวเป็นรายได้ 1.8 พันล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2557 และจะรับรู้เป็นรายได้ 6.7 พันล้านบาทในปี 2558 ส่วนที่เหลืออีก 4.8 พันล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2559 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2.4-2.7 หมื่นล้านบาทต่อปี บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ 22% ในปี 2555 และ 25% ในปี 2556 ทั้งนี้

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 18%-19% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยได้พิจารณารวมถึงแรงกดดันจากต้นทุนค่าก่อสร้างและการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขยายธุรกิจ

บริษัทมีภาระหนี้ในระดับปานกลาง ทว่าความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีเงินลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีซึ่งสามารถสร้างรายได้ และการถือเงินลงทุนขนาดใหญ่ในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 อยู่ที่ระดับ 49.8% ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินรวม (หักด้วยภาระหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย) ต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1 เท่า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในช่วงระหว่าง 50%-54% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากแผนการขยายโครงการแนวสูงที่จะมีอย่างต่อเนื่องและนโยบายการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง

ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทได้รับแรงสนับสนุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 20% ในปี 2555 และ 16% ในปี 2556 ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่า

อันดับเครดิตของบริษัทยังไม่ได้สะท้อนถึงปัจจัยบวกที่อาจเกิดขึ้นจากการที่บริษัทอาจขายสินทรัพย์บางส่วนในอนาคตเนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องของระยะเวลาและมูลค่าของรายการ นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากโครงสร้างทางการเงินที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอาจถูกลดทอนลงหากบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจที่คาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับกลับขึ้นไปอยู่ในช่วง 40%-50%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ