นายก้องเกียรติ เห็นว่า หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยก็อาจจะถดถอยลง ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยก็อาจจะลดลง ผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็คงจะต้องคิดแล้วคิดอีก ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลายรายก็บอกว่าได้รับผลกระทบแล้ว แม้แต่บริษัทส่งออกที่แต่แรกอาจจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น เพราะคำสั่งซื้อก็ชะลอลง
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปได้จากการเก็งผลประกอบการไตรมาส 1/57 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) แต่หลังจากหมดปัจจัยดังกล่าวแล้วตลาดหุ้นก็อาจจะซึมลง ซึ่งเป็นภาวะเดียวกันทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค.
ส่วนผลประกอบการของ บจ.ในประเทศช่วงไตรมาสแรกยังออกมาดี เพราะเป็นผลพวงจากอดีต เช่น คำสั่งซื้อที่ค้างมาจากปลายปีที่แล้ว ยกเว้นกลุ่มค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองทันที แต่มองแนวโน้มไตรมาส 2-3/57 ผลประกอบการอาจจะชะลอลง เพราะการเมืองช่วงนี้ทำให้มีการชะลอคำสั่งซื้อ ซึ่ง ASP ประเมินกำไร บจ.ในปีนี้จะเติบโต 12% แต่หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/57 ไปแล้วก็อาจจะมีการทบทวนอีกรอบ เหมือนกับปีก่อนที่ต้นปีมองว่ากำไร บจ.จะเติบโต 25% แต่สุดท้ายก็ปรับลดลงมาเหลือ 8% ครั้งนี้ก็คงต้องพิจารณาก่อน
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยบ่ายวานนี้ดีดตัวกลับขึ้นมาได้บ้างจากที่ร่วงแรงช่วงเช้า แสดงว่านักลงทุนยังมีความเชื่อมั่น หลังจากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนระดับหนึ่งเมื่อมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมา และวันนี้ก็จะมีความก้าวหน้าไปอีกขั้นจากที่จากผลการประชุมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในคดีจำนำข้าว
"เมื่อวาน sentiment ชัดเจนระดับหนึ่ง คืบหน้าไปหนึ่งก้าว จากนี้ไปก็ยังมีอีกหลายก้าว...ไม่มีใครคาดการณ์ได้ถูก ขณะนี้เราก็มองดูสถานการณ์เป็นวันต่อวัน" นายจรัมพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของไทยแตกต่างกัน บางท่านก็มองเป็นเรื่องระยะสั้น บ้างก็มองเป็นเรื่องระยะกลาง และบ้างก็มองเป็นจุดเริ่มต้นการถดถอย