ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ(Net Profit Margin)ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 35% โดยไตรมาส 1/57 ปรับขึ้นมาที่ 30% และในไตรมาส 2/57 เริ่มปรับขึ้นมาเข้าใกล้เป้าหมาย จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 22% หลังจากบริษัทปรับเปลี่ยนมาเน้นการขายในรูปแบบ Telemarketing ที่สร้างอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ได้ดีกว่า
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายจะเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่บริษัทแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายบริษัทในจีนเมื่อเม.ย.ทีผ่านมา โดยตัวแทนจากจีนได้นำผลิตภัณฑ์ BIM เข้าจดทะเบียนในตลาดจีนแล้ว และเริ่มทำการตลาดในเมืองเซี่ยงไฮ้ก่อน ขณะเดียวกันบริษัทจากเยอรมันจะเข้ามาช่วยด้านการตลาดในจีนอีกแรงหนึ่ง คาดว่ายอดขายในตลาดจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ตลาดในประเทศในปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น หลังจากบริษัทได้ออกโฆษณาผ่านทีวีช่อง Blue Sky ตั้งแต่ปลายปี 56 จากเดิมโฆษณาผ่านช่อง TNN เพียงช่องเดียว ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ออกมาดีมาก สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการเมือง เนื่องจากกลุ่มผู้ชมช่อง Blue Sky เป็นคนชนชั้นกลางที่มีอำนาจซื้อ และมีความเข้าใจผลิตภัณฑ์ของบริษัทคือผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะสินค้าภายใต้แบรนด์"BIM"ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันสมดุล
บริษัทจัดตั้งศูนย์"BIM Healthcare Center"ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ซึ่งในปีนี้มีแผนเปิด 4 แห่งได้แก่ เอสพลานาด สยามพารากอน เป็นต้น โดยจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์คอยให้ข้อมูลเพื่อขยายลูกค้ากลุ่ม A ซึ่งรวมถึงนักลงทุน และจะให้สิทธิพิเศษกับผู้ถือหุ้น APCO ในการเข้ารับข้อมูล เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเกิดความมั่นใจ และช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม B และกลุ่ม C ได้ง่ายขึ้น ซึ่งในที่สุดบริษัทจะสามารถขยายฐานลูกค้าไปได้ทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ บริษัทจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ BIM ให้กับกลุ่มแพทย์ในการประชุมวิชาการที่คาดว่าจะจัดประชุมในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยการนำเสนองานวิจัยผลิตภัณฑ์ BIM ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลกับร่างกายเป็นมิติใหม่ของวงการสุขภาพ ทำให้การรักษาโรคต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน และ มะเร็ง มีแนวทางรักษาได้ ซึ่งมองว่ามีแนวโน้มที่ดีมาก
*ใช้พันธมิตรสิงคโปร์เป็น spring board เข้าตลาดตปท.
จากปัจจุบัน APCO มีตลาดในเอเชีย ยกเว้นจีน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และไต้หวัน โดยคิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 20% ยองยอดขายรวมในปีก่อน หรือประมาณ 40-50 ล้านบาท แต่ในปีนี้คาดหวังตลาดจีนมาก จึงคาดว่าน่าจะเพิ่มสัดส่วนได้มาก นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐด้วย
ส่วนความร่วมมือกับพันธมิตรในอิตาลี และได้แต่งตั้งบริษัท เวนาโฟร จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่อเจาะเข้าตลาดอียูแล้ว นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีการจำหน่ายแต่อย่างใดจากพันธมิตรอิตาลี โดยคาดว่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นไปได้ยาก เพราะยังขาดความเชื่อมั่น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากไทยที่ยังมีปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการทำตลาด
*เตรียมนำหุ้นเพิ่มทุน 28 ล้านหุ้นขายให้พันธมิตรพร้อมดันเข้า SET
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 28 ล้านหุ้นเสนอขายให้แก่กลุ่มนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP)จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน 272 ล้านบาท หรือ 272 ล้านหุ้น และหากสามารถขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวได้จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วครบ 300 ล้านบาทที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะย้ายหุ้น APCO จากตลาด mai มายังตลาด SET ได้
"วัตถุประสงค์ ที่นำหุ้นเข้า SET เพราะต้องการให้ต่างประเทศรู้จักบริษัทเรามากขึ้น และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นใน Brand ของเรา...การเข้า SET เราไม่เร่งรีบ" นายพิเชษฐ์ กล่าว
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า บริษัทต้องการใช้เวลาเลือกเฟ้นพันธมิตรที่เข้ามาร่วมมือ เพราะเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาบริษัท แต่บริษัทต้องการพันธมิตรที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่ง รวมทั้งช่วยกระจายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้จากการวิจัยของคณะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทรวมถึงตัวเองที่ใช้เวลาทำวิจัยมากกว่า 30 ปี หรือค่อนครึ่งชีวิต
ดังนั้น หนึ่งในพันธมิตรที่มองไว้เป็นผู้ร่วมทุนใน APCO คือพันธมิตรสิงคโปร์ แต่ยังขอรอดูผลงงานก่อน นอกจากนี้ ยังมีหลายรายเข้ามาติดต่อขอร่วมทุนเป็นพันธมิตรด้วย เช่น กลุ่มร้านขายยาในประเทศ เป็นต้น
อนึ่ง APCO ได้เคยตั้งเป้าว่าบริษัทจะย้ายเข้าตลาด SET ในปี 58
ช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกันอย่างสมดุลเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน เพราะเล็งเห็นว่าการสร้างความสมดุลของภูมิคุ้มกันจะเป็นมิติใหม่ในการดูแลสุขภาพในอนาคต พร้อมคาดว่าผลประกอบการในช่วง 3 ปีจากนี้ไปจะเติบโตปีละเป็น 2 เท่า
ราคาหุ้น APCO ตั้งแต่เข้าตลาด mai ที่ราคา IPO 2.80 บาท เมื่อ 4 พ.ย.54 นั้นไต่ขึ้นมาตลอดจนมาทำจุดสูงสุดที่ ระดับราคา 12.50 บาทเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา จากราคาเมื่อสิ้นปี 56 อยู่ที่ 11.10 บาท และ 8.40 บาทในสิ้นปี 55