ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1/57 บริษัทมีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของบริษัทใหญ่ในงบเฉพาะกิจการ จำนวน 44.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.52 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 37.19 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตในทิศทางเดียวกัน
“ไตรมาสที่ 1/57 เราสามารถทำกำไรให้เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับได้มีการบริหารจัดการภายในอย่างมีประสิทธิภาพ จึงสะท้อนให้กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนได้ดังกล่าว" นายอนาวิล กล่าว
งวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.57 บริษัทฯ มีปริมาณการขายเหล็กแท่งทรงยาวจำนวน 81,557 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 52,742 ตัน เพิ่มขึ้น 28,815 ตัน หรือร้อยละ 54.63 ส่งผลให้มีรายได้จากการขายและการให้บริการในงบเฉพาะกิจการรวม 1,398.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 385.97 ล้านบาท จากรายได้ 1,012.12 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ถึงแม้ว่าราคาขายในตลาดจะปรับตัวลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/56 แต่เมื่อรวมกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดระเบียบเบิกจ่ายอย่างเป็นระบบ จึงส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 44.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 7.26 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.52 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 56 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 37.19 ล้านบาท
นายอนาวิล กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/57 เมื่อวันที่ 9 พ.ค.57 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการร่วมทุนกับ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH)จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ สนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในอนาคต ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว