ล่าสุด บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ในวันที่ 9 พ.ค.57 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยแต่งตั้ง บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 70 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท โดยมีกลุ่มครอบครัวชัยวัฒน์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้นร้อยละ 99.72 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว บริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองตามกฎหมาย
สำหรับเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำไปใช้ขยายศูนย์ทันตกรรม เพื่อรองรับการให้บริการครอบคลุมกลุ่มพื้นที่เป้าหมายเพิ่มขึ้น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
LDC ประกอบธุรกิจผู้ให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจร ภายใต้รูปแบบศูนย์ทันตกรรม โดยมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการภายใต้ทันตแพทย์เฉพาะทาง อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน และระบบความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสำคัญ ได้รับการรับรองคุณภาพ Hospital Accreditation(HA) ชั้นที่ 1 จาก สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) แม้ใบรับรองดังกล่าวจะครบกำหนดอายุแล้ว แต่บริษัทฯ มีแผนที่จะดำเนินการต่ออายุใบรับรองคุณภาพดังกล่าว และยื่นขอใบรับรองให้กับสาขาใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ อีกทั้ง ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือแก่องค์กร และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มาใช้บริการ สามารถขยายการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
“อุตสาหกรรมธุรกิจด้านทันตกรรมมีแนวโน้มเติบโตดี จากการให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก และรักษาเพื่อความงามมากขึ้น รวมทั้ง ภาครัฐบาลให้การสนับสนุนในการดูแลด้านทันตกรรม แม้ภาวะการแข่งขันในธุรกิจนี้ค่อนข้างรุนแรง แต่บริษัทฯ มีศักยภาพในการแข่งขัน และได้เปรียบในหลายด้าน จากการจัดระบบการจัดการเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา มุ่งเน้นให้บริการโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง มีศูนย์ฝึกอบรมผู้ช่วยทันตกรรมเป็นของตนเอง ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของบริษัทฯ ในการแก้ปัญหาขาดแคลนผู้ช่วยทันตกรรมที่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้ง ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย และความสะอาด จึงมีความพร้อมด้านอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย และการจัดการห้องปลอดเชื้อ นอกจากนี้ อำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการ โดยเปิดสาขาครอบคลุมเขตพื้นที่ชุมชนของกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน LDC Dental มีสาขาแล้วทั้งสิ้น 19 สาขา และมีแผนขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมทั้งแผนขยายสาขาไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม AEC เพื่อรองรับโอกาส รวมถึงเตรียมพร้อมกับการแข่งขันที่จะมีมากขึ้นในอนาคต"ทันตแพทย์วัฒนา กล่าว
บริษัทตั้งเป้าหมายการขยายสาขาในปี 57 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5 สาขา และภายใน 3 ปีข้างหน้า(ปี 57-59) จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 20 สาขา ซึ่ง ปัจจุบัน ลงทุนเปิดสาขาใหม่ไปแล้วจำนวน 2 สาขา และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ คือสาขารามอินทรา กม.10 และสาขาศาลายา ทั้งนี้ พื้นที่การขยายสาขาอื่นๆ เพิ่มเติม ต้องพิจารณาทำเลที่เหมาะสมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 56 บริษัทฯ มีรายได้รวม 350.47 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 315.54 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.21 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 11.25 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากรายได้ค่ารักษาทางการแพทย์มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 95
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้า หน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด ว่า คาดว่าจะนำหุ้น LDC เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ในช่วงไตรมาส 3/57
“เชื่อว่าแอลดีซี เด็นทัล จะเป็นอีกบริษัทฯ ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเงินที่ได้จากการระดมทุน เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ และขยายสาขา เพื่อรองรับการให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่เป้าหมาย จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคต"นายสมภพ กล่าว